[นิยายแปล] Akuyaku Reijou no Naka no Hito ~Danzai sareta Tenseisha no Tame Usotsuki Heroine ni Fukushuu Itashimasu~ - ตอนที่ 36
เด็กน้อยในหมู่บ้านเกิดใหม่
“ข้าจะไม่ขอให้ทุกคนเชื่อใจข้า เพียงแค่รู้ไว้ว่าข้าจะตอบแทนให้สมกับความพยายามของทุกคนแน่นอน”
มนุษย์แปลกๆที่คุณธอร์นพาพวกเรามาพบพูดออกมาแบบนี้ ในเมื่อทางนั้นพูดออกมาเอง ทางนี้ก็ขอ ‘ไม่ไว้ใจ’ ตามนั้นก็แล้วกัน
คนที่พวกเราเชื่อคือคุณธอร์นเท่านั้น และเขาก็ยอมรับเธอ ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังคิดเผื่อไปถึงสถานการณ์ที่คุณธอร์นถูกผู้หญิงคนนี้หลอก
ในตอนที่คุณธอร์นแนะนำ พวกเราก็ตัดสินใจเดินทางมาเพราะรู้ดีว่าถ้าใช้ชีวิตต่อไปทั้งอย่างนี้ทุกคนจะต้องตายแน่ๆ ไม่มีอะไรเลวร้ายกว่าอาศัยตามข้างถนนในสลัม ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็แค่หนีไปให้ไกลๆ กรณีที่เลวร้ายที่สุดก็คงไม่แย่ไปกว่าอดตาย
เท่าที่รู้คือ พวกเราต้องไปเป็นแรงงานให้กับหมู่บ้านที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่แลกกับอาหารและที่อยู่ ถ้าเป็นจริงได้สักครึ่งก็คุ้มค่าแล้ว
พอมาถึงก็มีแต่ยิ่งรู้สึกว่าหมู่บ้านนี้มันน่าสงสัย
หัวหน้าที่พวกเราต้องทำงานให้เป็นผู้หญิงหน้าตาดี เนื้อตัวสะอาด เส้นผมเงางาม ใส่เสื้อผ้าดูมีราคา ดูดียิ่งกว่าคนจำพวกที่มองพวกเราเป็นเศษขยะตามถนนซะอีก แล้วคนประเภทนี้จะรวบรวมพวกเรามาเพื่ออะไร? น่าสงสัยจริงๆ
ยังไงก็เชื่อไม่ลง
บางทีเธออาจรวบรวมเด็กเผ่าปีศาจมาขายหรือทำให้เป็นทาส ใช้พลังของพวกเราเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่น่าใช่เรื่องดีนัก
อาหารวันละ 3 มื้อ เสื้อผ้าอบอุ่น บ้านที่มีผนังและหลังคา ของเหล่านี้ต้องมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างแน่
แม้ว่าอาหารจะต้องแลกมาด้วยการทำงานให้ แต่มันก็เป็นงานง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างมากก็แค่เหนื่อย หมดวันก็กลับมาพัก เพียงแค่นั้น ไม่สมเหตุสมผลเลย
งานที่ให้ทำก็มีแต่งานธรรมดาอย่างการทำไร่ ด้วยเวทมนตร์ ‘เสริมแกร่งร่างกาย’ ระดับต่ำจนแทบจะไม่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ สำหรับเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็งานประเภทแบกหามขนของทั่วไปที่ใช้แต่แรงอย่างเดียว และทุกครั้งที่ทำงานสำเร็จ ‘ท่านเรมิเลีย’ ก็จะกล่าวคำชื่นชมที่ฟังดูเกินจริง
“ยอดเยี่ยมจริงๆ ทำการเตรียมพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดภายในครึ่งวัน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย”
“นั่นน่ะ… มันยังไม่พอหรอก สู้กับอสูรไม่ได้ ช่วยใครก็ไม่ได้ แบ่งเบาภาระของท่านราชาปีศาจไม่ได้เลย… เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์สำหรับเผ่าปีศาจ”
การจะเอาชนะอสูรได้ต้องอาศัย ‘เวทมนตร์’ ซึ่งต้องมีพรสวรรค์ถึงจะใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีมัน ต่อให้มีพลังเวทสูงกว่ามนุษย์สักแค่ไหนก็ไร้ค่า… การใช้เวทมนตร์ที่ธรรมดายิ่งกว่าพื้นฐานอย่าง ‘เสริมแกร่งร่างกาย’ นี้ก็ถือว่าทำเต็มที่แล้ว
และเสริมแกร่งร่างกายนี้ก็ไม่ได้ให้พละกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับอสูรได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าใช้งานเวทมนตร์เสริมแกร่งร่างกายได้ไม่ชำนาญพอในตอนที่เผชิญหน้ากับอสูร ก็มีแต่จะทำให้ถูกฆ่าตายก่อน
แต่ก็เคยได้ยินว่าปีศาจรุ่นก่อนๆที่อพยพมาทำงานเป็นนักผจญภัยก็ใช้เวทมนตร์นี้ให้เชี่ยวชาญเพื่อต่อสู้กับอสูร…
ส่วนพวกเราได้ถูกบอกให้ใช้เวทมนตร์ง่ายๆนี้พรวนดินทำไร่ไถนา แรกๆก็รู้สึกทึ่งว่า ‘หึม ถึงจะใช้ต่อสู้กับอสูรไม่ได้ก็ยังมีประโยชน์กับเรื่องพวกนี้ได้สินะ’ แต่มันก็แค่นั้น
“ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดไร้ประโยชน์ หากมีผู้เก่งกาจในการปราบปรามอสูรช่วยเหลือผู้คน ก็ต้องมีผู้ที่มาพร้อมกับพรสวรรค์ในการปลูกพืชสร้างผลผลิตให้ทุกคนได้อิ่มท้องด้วยเช่นกัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใครทั้งนั้น”
…ตั้งแต่เกิดมาในโลกปีศาจก็ไม่มีพลังพอจะเอาตัวรอดในโลกปีศาจ ท่านมิซารี่จึงส่งตัวมาที่ประเทศนี้ให้ทำตัวกลมกลืนไปกับเผ่ามนุษย์เพื่อให้ใช้ชีวิตต่อไปได้ ถึงอย่างนั้นก็เอาชีวิตรอดด้วยตัวเองไม่ได้ถ้าไม่มีปีศาจรุ่นก่อนๆอย่างคุณธอร์นคอยดูแล
เพราะฉะนั้น… คำชมเหล่านี้… เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าทำประโยชน์ให้ใครได้ แต่ก็ต้องย้ำกับตัวเองว่า ‘อย่าเพิ่งหลวมตัวกับคำชมแค่นี้’
ระยะนี้อย่างน้อยก็เชื่อได้แล้วว่า ‘พวกเราไม่ได้ถูกเลี้ยงเพื่อเอาไปขาย’ คนอื่นๆก็ดูเหมือนจะคิดแบบเดียวกัน
คุณธอร์นก็เคยบอกมาว่า ‘ถ้าท่านเรมิเลียคิดอย่างนั้นจริงก็คงไม่เสียเงินเสียเวลาจัดการทุกอย่างให้ขนาดนี้หรอก’
จริงอยู่ที่เป็นไปได้ว่า… การให้เสื้อผ้า อาหาร และที่อยู่เหล่านี้ ทำเพื่อให้พวกดูมีสุขภาพดีจนขายได้ราคา แต่ก็ยังแปลกที่ถึงขนาดสอนวิธีอ่านเขียนและคำนวณให้ด้วย โดยให้เหตุผลว่า ‘เพื่อเพิ่มตัวเลือกสำหรับอาชีพในอนาคต’
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่ามนุษย์คนนี้…ท่านเรมิเลีย ไม่ได้รวบรวมปีศาจมาขาย เป็นเพียงการใช้งานเด็กกำพร้าโดยไม่มีคำสั่งให้ทำงานหนักหรืออันตรายเพื่อแลก ‘อาหารหนึ่งมื้อ’
พวกเราตระหนักถึงสิ่งที่ทำได้ด้วย ‘เสริมแกร่งร่างกาย’ ที่คิดกันว่าเป็นของธรรมดาให้เกิดประโยชน์สำหรับทุกคน
จากนี้ ทุกคนจะแสดงให้เห็นว่าตัวเองยังมีประโยชน์ เพื่อให้มีอาหารและที่อยู่ต่อไป
ในหมู่พวกเรา เจ้าเปี๊ยกดูเหมือนจะมีไข้ ต้องทำอะไรสักอย่างไม่อย่างนั้นต้องแย่แน่ๆ… พวกเราอยู่ในฐานะ ‘แรงงานเผ่าปีศาจที่ใช้เวทมนตร์ทำไร่’ งานง่ายๆที่มาพร้อมกับอาหารและที่พัก มีคนอื่นอีกมากที่สามารถแทนที่พวกเราได้ ถ้าทำตัวมีปัญหาเมื่อไหร่คงถูกไล่ออก
ระดับท่านเรมิเลีย จะไปหาแรงงานที่ไม่เรื่องมากจากที่ไหนก็ได้
น่าเป็นห่วงเหลือเกิน
ถ้าอยู่หมู่บ้านนี้ไม่ได้ก็มีแต่ต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ซึ่งเท่ากับกลับไปรอความตาย
ทำยังไงดี ทำยังไงดี ระหว่างที่ปล่อยให้เวลาผ่านไปจนหมดวันโดยได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร อาการของเจ้าเปี๊ยกก็ไม่ดีขึ้น ซ้ำยังดูอ่อนแรงจนขยับตัวแทบไม่ไหว
ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ทำอะไรเลยเจ้าเปี๊ยกจะต้องตาย ในเมื่อเรื่องเลวร้ายถึงขั้นนี้แล้วก็มีแต่ต้องไปสารภาพ
อันที่จริงก็ควรไปพูดตรงๆตั้งแต่ตอนเช้า ‘ดูไม่เหมือนไข้หวัดธรรมดา ขอให้คุณธอร์นกับท่านเรมิเลียช่วยทำอะไรสักอย่าง’ หากได้บอกไปเช่นนี้ก็คงหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไปได้
ขอโทษนะ เจ้าเปี๊ยก ต้องทรมานเพราะความมักง่ายทางนี้ ทุกคนก็จะไปก้มหัวขอความช่วยเหลือด้วยเหมือนกัน ทั้งที่ยังกลัวว่าจะต้องกลับไปเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่ก็คิดหาทางอื่นไม่ออกจริงๆ ‘ขอโทษ ขอโทษ’ นี่คือทั้งหมดที่คิดได้ในตอนนี้
“การขอความช่วยเหลือจาก ‘มนุษย์’ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย”
“ขอบคุณที่ไว้ใจข้าถึงขั้นนั้น”
พูดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ สัมผัสไม่ได้ถึงความรำคาญจากน้ำเสียงแม้แต่น้อย
ระหว่านั้นก็ไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรกับพวกเราอีก ถึงจะได้ยินชัดเจนแต่ก็ไม่เข้าหัว รู้แต่เพียงว่า ‘เธอไม่ได้โกรธ’ และ ‘ต่อให้พวกเราใช้งานไม่ได้ก็ไม่ทอดทิ้ง’ พวกเราได้แต่ร้องไห้จนลืมพูดคำขอบคุณด้วยซ้ำ
ท่านเรมิเลียไม่ได้คิดใช้ประโยชน์จากพวกเรา
ถึงจะขอโทษออกไป แต่ท่านเรมิเลียตอบแค่ว่า ‘ไม่มีใครทำอะไรที่ต้องขอโทษข้าเลย’ ทุกคนจึงมีใครพูดอะไรออกมาอีก
หลังจากสำนึกได้ในวันนั้น พวกเราเห็นพ้องต้องกันว่า ‘จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อท่านเรมิเลียให้ได้มากที่สุด’ และเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นเพื่อให้สามารถทำประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
จากที่เคยไม่คาดหวังในสิ่งใดในตอนที่มาถึงหมู่บ้านเป็นวันแรก ‘ทำงานเพื่อไม่ให้ถูกไล่ออก’ จนถึงวันนี้ มันได้เปลี่ยนเป็นความภูมิใจทีได้ ‘ทำงานเพื่อประโยชน์ของคนผู้นั้น’