อสูรทลายสวรรค์ - เล่มที่ 1 บทที่ 5 คัมภีร์ลับเลือดเทพ
คัมภีร์ลับเลือดเทพ!
สามารถเพิ่มพูนระดับความเข้มข้นของเลือดเทพภายในกาย?
เพิ่มโอกาสในการเรียกสัตว์อสูรตั้งแต่คุณภาพระดับเจ็ดขึ้นไป?
มีวิชาลับที่แหกกฎสวรรค์แบบนี้อยู่จริงหรือ? ในใจเย่ชิงหานบังเกิดความตื่นตระหนกขึ้น ถ้าหากเป็นจริงอย่างที่ว่าละก็ ไม่เพียงตระกูลเย่หรือเขตปกครองเทพสงคราม แต่ทั่วทั้งทวีปมังกรเพลิงต้องเกิดความโกลาหลวุ่นวายอย่างใหญ่โตอย่างแน่นอน
ใช้ชีวิตอยู่บนทวีปนี้มาสิบกว่าปี เย่ชิงหานก็พอเข้าใจสถานการณ์ของทวีปนี้อยู่พอสมควร
ทวีปนี้แบ่งเป็นหนึ่งนครและสามเขตปกครอง คือ นครแห่งเทพ เขตปกครองเทพสงคราม เขตปกครองเทพปีศาจ และเขตปกครองเทพคนเถื่อน สถานะของนครแห่งเทพอยู่เหนือสิ่งอื่นใด แม้แสงแห่งเทพจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งทวีป แต่นครแห่งเทพก็ไม่เคยที่จะสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการสู้รบแย่งชิงอำนาจกันของแต่ละเขตปกครอง และทั้งสามเขตปกครองก็ไม่กล้าที่จะเป็นศัตรูกับนครแห่งเทพด้วยเช่นกัน
สามเขตปกครอง แบ่งเป็นสามเผ่าพันธุ์
เขตปกครองเทพสงคราม เผ่ามนุษย์บริสุทธิ์ สามารถฝึกฝนพลังปราณรบและมีสติปัญญาที่ชาญฉลาด
เขตปกครองเทพปีศาจ เป็นเผ่าที่เกิดจากอสูรปีศาจบรรพกาลและเทพบรรพกาลผสมพันธุ์กัน ครึ่งคนครึ่งปีศาจ พลังปีศาจไร้เทียมทาน
เขตปกครองเทพคนเถื่อน เผ่าพันธุ์คนเถื่อนบรรพกาลที่หลงเหลือมาจากยุคสมัย ร่างกายสูงใหญ่ พละกำลังมหาศาล หนึ่งหมัดสามารถระเบิดภูเขาแยกปฐพี
หนึ่งพันปีก่อน ทั้งสามเขตปกครองเนื่องจากเผ่าพันธุ์ ความเชื่อ และการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจึงเกิดการสู้รบฆ่าฟันกันอย่างต่อเนื่อง บ้านเมืองลุกเป็นไฟประชาชนไม่สามารถอยู่เย็นเป็นสุขได้ ต่อมาเทพมังกรเพลิง “ถู” ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอย่างหาผู้ใดเปรียบได้จากเมืองมังกรปรากฏตัวขึ้น เขาอาศัยพลังฝีมือของตนเพียงคนเดียวสยบเหล่าชาวยุทธ์ทั้งสามเขตปกครอง พร้อมทั้งขอให้ยุติการสู้รบฆ่าฟันที่ดำเนินอยู่ ด้วยเหตุนี้ทั้งสามเขตปกครองจึงทำข้อตกลงกันในทุกๆ ยี่สิบปีจะต้องมีการจัดงานประลองสงครามระหว่างเขตปกครองเพื่อสะสางข้อบาดหมางที่เกิดขึ้น
เมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่รบกันนัวเนียนั้น เขตปกครองเทพสงครามปรากฏห้ายอดฝีมือระดับสูงซึ่งแบ่งเป็น เฟิงจวิน ฮวาตี้ เสว่ไซว่ เยว่โห้ว และเย่หวง ทั้งห้าล้วนมีฝีมือและสุดยอดวิชาที่ร้ายกาจพิชิตไปทั่วหล้า ท้ายที่สุดจึงแบ่งกันปกครองเมืองหลักทั้งห้าในเขตปกครองเทพสงคราม และก่อตั้งตระกูลทั้งห้าขึ้น
ในฐานะที่เป็นลูกหลานสายเลือดโดยตรงของตระกูลเย่ เย่ชิงหานก็พอได้รับรู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง ความจริงแล้วยอดฝีมือทั้งห้าล้วนเป็นลูกหลานของเทพบรรพกาล ภายในร่างมีเลือดเทพบรรพกาลไหลเวียนอยู่จึงไม่แปลกที่แต่ละคนจะมีสุดยอดวิชาติดตัว
ตระกูลเฟิงเป็นลูกหลานของเทพกระบี่ สามารถบังคับกระบี่ได้ดั่งใจปรารถนา
ตระกูลฮวาเป็นลูกหลานของเทพนักฆ่า มีศิลปะในการลอบสังหารไม่เป็นสองรองใคร
ตระกูลเสว่เป็นลูกหลานของเทพหนอนแมลงพิษ ใช้หนอนแมลงพิษสังหารศัตรูอย่างไร้ร่องรอย
ตระกูลเยว่เป็นลูกหลานของเทพวิญญาณ ล่อลวงผู้คนด้วยตัณหาราคะแล้วดูดกลืนวิญญาณ
ตระกูลเย่เป็นลูกหลานของเทพอสูร คน–อสูรรวมร่างใต้หล้าไร้คู่ต่อกร
เพราะทั้งห้าตระกูลใหญ่ต่างมีสุดยอดวิชาประจำตระกูลเป็นของตน จึงสามารถปกครองเมืองหลักทั้งห้าของตนไว้ได้นับพันปี เกียรติยศชื่อเสียงและอำนาจบารมีตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ลูกหลานที่เกิดมาในตระกูลเหล่านี้ล้วนได้เปรียบคนทั่วไปเป็นอย่างมาก เพราะภายในร่างของพวกเขาแฝงไปด้วยเลือดของเทพไม่มากก็น้อย ซึ่งเปรียบเสมือนฝึกฝนพลังยุทธ์บนไหล่ยักษ์ ดังนั้นถ้าจะมียอดฝีมือถือกำเนิดขึ้นจากตระกูลเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ตัวอย่างเช่น หากลูกหลานของตระกูลเย่ที่มีเลือดเทพภายในกายสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปดออกมาได้ เท่ากับว่าเขาผู้นั้นไม่ต้องฝึกยุทธ์เลยก็ได้ ขอแค่เพียงดูแลสัตว์อสูรของตนให้ดีๆ รอเวลาให้สัตว์อสูรเติบโตเต็มวัย เพียงเท่านี้ก็เปรียบเสมือนได้ผู้ช่วยที่มีพลังฝีมือเทียบเท่าระดับขอบเขตราชาจักรพรรดิของมนุษย์เลยทีเดียว
ไม่ต้องฝึกฝนก็มีพลังฝีมือเทียบเท่าระดับขอบเขตราชาจักรพรรดิ เช่นนี้ใครจะกล้าไปเปรียบเทียบด้วย?
การมีอยู่ของตระกูลทั้งห้าจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ฝืนกฎเกณฑ์ของสวรรค์อยู่พอสมควร แต่ก็ยังดีที่สวรรค์ยังคงยุติธรรมที่ให้ตระกูลทั้งห้าปรากฏผู้ที่มีเลือดเทพภายในกายในระดับเข้มข้นนั้นน้อยมาก อย่างเช่นตระกูลเย่ตามที่เย่ชิงหานทราบ เป็นเวลาสามร้อยกว่าปีแล้วที่ไม่ยังปรากฏสัตว์อสูรคุณภาพระดับเก้าเลย สูงสุดก็แค่ปู่และบิดาของเขาเท่านั้นที่เรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปดออกมาได้
……………………………
แต่บันทึกเล่มเล็กๆ ที่อยู่ในมือของเขาตอนในนี้ ข้างในกลับมีสุดยอดวิชาที่สามารถเพิ่มพูนระดับความเข้มข้นของเลือดเทพภายในร่างได้!
ถ้าหากสุดยอดวิชานี้เป็นของจริงละก็!
แล้วมันหมายความว่าอย่างไร?
ก็หมายความว่าตนเองมีโอกาสที่จะเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับสูงออกมาได้ หมายความว่าตนเองสามารถมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งได้ ตนเองที่พรสวรรค์ไม่ดีหากจะอาศัยพลังปราณรบในการฝึกฝนก็คงไม่มีความสำเร็จอะไรมากมาย แต่หากสามารถเรียกสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งออกมาได้สักตัวละก็ อาศัยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งนั้นตนเองก็จะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งสูงขึ้นตามไปด้วย จากนั้นทั้งฐานะและความสำคัญของตนก็จะเลื่อนสูงขึ้น สัตย์สาบานที่ได้ให้ไว้ต่อหน้าหลุมศพของมารดาก็มีหวังที่จะทำให้สำเร็จได้
สัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดขึ้นไป! เงื่อนไขที่จะเป็นศิษย์สายในของตระกูลคือเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับหกออกมาได้ หรือว่าอายุสิบหกปีบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์ อายุสิบหกบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์สำหรับตนเองตอนนี้ไม่มีหวังแล้ว แต่ถ้าหากสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดหรือสูงกว่านั้นออกมาได้ก็จะสามารถเข้าเป็นศิษย์สายในของตระกูลได้อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นสุดยอดวิชานี้ยังสามารถทำให้ลูกหลานของตระกูลเย่ทุกคนเพิ่มพูนระดับความเข้มข้นของเลือดเทพได้ ก็หมายความว่าลูกหลานตระกูลเย่ทุกคนสามารถเรียกสัตว์อสูรระดับสูงออกมาได้ทุกคนเช่นกัน ต่อไปตระกูลเย่ก็จะมียอดฝีมือระดับสูงปรากฏออกมาอย่างไม่ขาดสาย หน้าประวัติศาสตร์ของเขตปกครองเทพสงครามและของทวีปมังกรเพลิงก็จะเปลี่ยนไป
มันจะแหกกฎสวรรค์เกินไปแล้ว!
เย่ชิงหานกลั้นลมหายใจของตนเองเพื่อหยุดอาการของมือที่กำลังสั่นเทา จากนั้นจึงพลิกหน้าของบันทึกเพื่อหาหน้าที่อยู่ของคัมภีร์ลับเลือดเทพแล้วเริ่มอ่านอย่างจริงจัง
“ลูกหลานของตระกูลเย่คือทายาทของเทพอสูรที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้ ภายในร่างของทุกคนล้วนมีเลือดเทพแฝงอยู่ เมื่อกระตุ้นพลังเลือดเทพที่อยู่ในกายด้วยเคล็ดวิชาลับพิเศษ จะสามารถปลดปล่อยพลังทางสายเลือดที่สามารถเพิ่มพูนพลังเทพอสูรในระยะเวลาอันสั้น แล้วใช้พลังนั้นเพื่อเรียกสัตว์อสูรออกมา และสัตว์อสูรตนนั้นก็จะติดตามผู้ที่เป็นเจ้าของไปตลอดชีวิต ส่วนเลือดเทพภายในกายมีปริมาณมากน้อยเพียงใดนั้นมีผลโดยตรงเมื่อเข้าร่วมพิธีปลุกพลังทางสายเลือดว่าจะได้รับพลังเทพอสูรมากน้อยเพียงใด และมีผลโดยตรงกับสัตว์อสูรที่เรียกออกมาว่าจะมีคุณภาพสูงต่ำเพียงใด ดังนั้น สำหรับลูกหลานตระกูลเย่ เลือดเทพที่แฝงอยู่ภายในกายนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง…”
“ตัวข้าฝึกฝนวรยุทธ์เป็นระยะเวลายี่สิบกว่าปี ท่องอ่านศึกษาตำราที่มีอยู่ภายในหอสมุดของตระกูลจนหมดสิ้น ทั้งยังท่องเที่ยวไปทั่วทุกแห่งหนพบปะผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ในแขนงต่างๆ ทั้งหลาย ใช้เวลาครุ่นคิดอย่างยากลำบากเป็นเวลาสิบปีถึงสามารถคิดค้นวิชานี้ออกมาได้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตระกูล…ข้อควรระวัง-วิชานี้ตั้งแต่คิดค้นขึ้นมายังไม่เคยทดลองใช้จริง จากการคาดคะเนของตัวข้าโอกาสที่ผู้ฝึกจะฝึกสำเร็จได้อยู่ที่ห้าสิบในร้อยส่วน หากฝึกสำเร็จผู้ฝึกได้ประโยชน์ข้าก็ดีใจ หากล้มเหลวก็มีโอกาสห้าสิบในร้อยส่วนที่ผู้ฝึก…หากเป็นเซียนก็จะกลับกลายเป็นคนธรรมดา หากเป็นผู้ที่มีสติดีก็อาจจะสติฟั่นเฟือน ขั้นร้ายแรงที่สุดคือล่องลอยไปแดนสุขาวดี…”
“อะไรวะ xxxxx…”
ปัง!
อ่านจบเย่ชิงหานขว้างสมุดบันทึกลงไปกองที่พื้นพร้อมกับสบถด่าออกมาอย่างหัวเสีย
สำหรับบิดายอดคนผู้นี้ เขาไม่มีคำพูดใดจะกล่าวถึงเลยจริงๆ
อะไรคือผู้ฝึกได้ประโยชน์ข้าก็ดีใจ ดูๆ แล้วนี่มันหลอกต้มคนชัดๆ…ทำมาพูดซะสวยหรูเซียนกลับกลายเป็นคนธรรมดา จะสติฟั่นเฟือน ล่องลอยไปแดนสุขาวดี…ก็แค่พูดมาตรงๆ ว่าวรยุทธ์สูญสิ้น กลายเป็นเจ้าชายนิทรา และซี้แหงแก๋ง่ายๆ แค่นี้ก็จบ
มีโอกาสสำเร็จห้าสิบในร้อยส่วนแถมยังเป็นการคาดคะเนของตนเองอีก ชัดเลยว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ “ลับ” อย่างสุดยอดจริงๆ จนทำให้ไม่เคยมีใครได้ลองฝึกฝนจริงเลยสักครั้ง
สถานการณ์เช่นนี้ก็เหมือนกับมีคนมอบ “คัมภีร์ทานตะวัน” ให้เย่ชิงหาน แล้วบอกให้เขาตอนตัวเองซะ หลังจากตอนแล้วค่อยมาฝึกเคล็ดวิชานี้มีโอกาสห้าสิบในร้อยส่วนที่จะฝึกสำเร็จกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายคนที่สอง ลองคิดดูว่าจะไม่ให้เย่ชิงหานหงุดหงิดและอารมณ์เสียอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
เรื่องที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนเราคือ “การให้ความหวังแล้วก็ทำให้หมดหวัง” กับประโยคนี้สำหรับเย่ชิงหานในตอนนี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ดั่งเช่นผู้ที่กำลังร่วงหล่นลงจากหน้าผาแล้วมือคว้าเถาวัลย์ได้เส้นหนึ่ง แต่เมื่อมองดูกลับปรากฏว่าเถาวัลย์ที่ตนคว้าได้นั้นกลับกลายเป็นอสรพิษตัวหนึ่งแทน!
“ข้าก็ว่าอยู่อะไรมันจะง่ายดายขนาดนั้น! ดูแล้วสวรรค์ก็ยังคงมีความยุติธรรมไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใคร เหมือนกับการปิดประตูทางเข้าแต่ก็ยังเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้บานหนึ่ง แต่ข้างนอกหน้าต่างนั้นเป็นหน้าผาที่สูงชันหมื่นๆ ฟุต ไม่รู้ว่าข้างล่างหน้าผาเป็นธารน้ำหรือหมู่หินแหลมคม? จะทำอย่างไรก็ต้องเลือกเอง”
เย่ชิงหานรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนตาบอดที่ยืนอยู่กลางสี่แยกที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางซ้ายหรือขวาดี ถ้าหากเลือกเดินทางผิดอาจจะเป็นเหมือนดั่งที่บิดาพูดไว้คือล่องลอยไปแดนสุขาวดีก็เป็นได้
ช่างเถอะ! พักเรื่องนี้ไว้ก่อนจะดีกว่า ถึงอย่างไรก็ยังมีเวลาอีกยี่สิบกว่าวันก่อนที่จะถึงพิธีปลุกพลังทางสายเลือด ลองหาทางดูเผื่อจะมีทางอื่นอีก อ้อจำได้ว่ายังมีของวิเศษจากภูเขาสุสานทวยเทพอยู่อีกอย่างนี่นา
ภายในใจของเย่ชิงหานยังคงมีอาการลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจโยนสมุดบันทึกทิ้งไว้ข้างๆ แล้วหยิบเอาของอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ภายในกล่องขึ้นมาพิจารณาดู
มันคือแหวนวงหนึ่ง!
เป็นแหวนสีสันสดใสแวววาวเปล่งประกายสีทองระยิบระยับ มีรูปมังกรทองตัวหนึ่งขดวนอยู่โดยรอบ
“อื้อหือ! ของดี…ของดีแน่นอน! ของวิเศษที่ตกทอดมาจากสมัยก่อนซึ่งได้มาจากภูเขาสุสานทวยเทพ สถานที่อันตรายอันดับนึ่ง ว่ากันว่าภูเขาสุสานทวยเทพเป็นสนามรบที่เหล่าทวยเทพบรรพกาลทั้งหลายจบชีวิตลงจากการเข้าร่วมในมหาศึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ แค่ดูจากสีสันที่เปล่งประกายออกมาแหวนวงนี้ต้องเป็นของที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าภายในแหวนวงนี้อาจจะซุกซ่อนยอดฝีมือจากอาณาจักรเทพอยู่ข้างใน? หรืออาจจะมีดวงวิญญาณของผู้อาวุโสยอดฝีมือซุกซ่อนอยู่…”
ตอนนี้ในหัวของเย่ชิงหานลืมคัมภีร์ลับเลือดเทพไปโดยสิ้นเชิง สมาธิทั้งหมดของเขาจดจ่ออยู่กับแหวนเพียงอย่างเดียว ภายในใจตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง แค่รูปลักษณ์ภายนอกของแหวนก็นับว่าไม่เลวแล้ว สีทองที่เปล่งประกายแวววับ แถมยังมีตัวมังกรอยู่ด้านบนที่ราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ ขดตัววนอยู่โดยรอบ สมกับเป็นของวิเศษที่ได้มาจากภูเขาสุสานทวยเทพโดยแท้
เย่ชิงหานกลืนน้ำลายลงไปคำหนึ่งพร้อมกับใช้สายตาเพ่งมองไปยังแหวนอย่างไม่กะพริบ เขากลัวว่าจะมีอะไรที่อยู่ข้างในอย่าง ดวงวิญญาณของผู้อาวุโสยอดฝีมือผู้เฝ้ารอผู้มีบุญวาสนา หรือยอดฝีมือจากอาณาจักรเทพที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในโผล่ออกมาแล้วถ่ายทอดพลังทั้งหมดให้ จากนั้นบีบบังคับตนเองให้ฝึกฝนสุดยอดวิชา
“เอี๊ยด!”
โดยไม่ทันตั้งตัว ทันใดนั้นหน้าต่างที่อยู่ข้างๆ พลันถูกเปิดออก ลมเย็นสายหนึ่งพัดผ่านเข้ามา เย่ชิงหานปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดมือครั้งหนึ่งแหวนที่อยู่ในมือพลันตกลงสู่พื้น
“ท่านผู้ใด? เป็นท่านผู้ใด? เป็นดวงวิญญาณของผู้อาวุโสยอดฝีมือผู้เฝ้ารอผู้มีบุญวาสนาหรือยอดฝีมือจากอาณาจักรเทพที่ปรากฏกาย? ศิษย์เย่ชิงหานคาระวะท่านผู้อาวุโส…” ในตอนนี้เย่ชิงหานรู้สึกราวกับว่าวิญญาณได้ล่องลอยออกจากไปร่าง เขาก้มศีรษะลงอย่างร้อนรนพลางกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนกตกใจ มือทั้งสองข้างประสานกันในระดับอกทำความเคารพไปทั่วทุกทิศทาง
ภายในหน้าต่างกลับปรากฏร่างอ้อนแอ้นของสาวน้อยนางหนึ่ง เมื่อเห็นอากัปกิริยาเช่นนั้นของเย่ชิงหาน นางขมวดคิ้วแล้วจึงถามขึ้นด้วยถามสงสัย “ท่านพี่! ท่านกำลังทำอะไร? ร้องเอะอะโวยวายขึ้นมาทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็ไม่ได้หลับได้นอนกันพอดี”
“เอ่อ…?”
เย่ชิงหานมองไปรอบๆ อย่างมึนงง จากนั้นไม่นานถึงเรียกสติกลับคืนมาได้ เขาเอามือเกาหัวยิ้มออกมาด้วยความเขินอายแล้วหันกลับก้มลงไปหยิบแหวนที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา
อย่างไม่คาดคิด!
สักพักร่างกายของเขาคล้ายกับถูกฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น นั่งยองๆ นิ่งอยู่กับพื้นคล้ายกับคนไม่ได้สติ แต่ทว่าภายในปากกลับสบถคำด่าออกมาด้วยความเดือดดาล “ข้าไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาด่าดี ของวิเศษจากภูเขาสุสานทวยเทพห่าเหวอะไรกัน นี่มันของเก๊ชัดๆ ท่านพ่อน่ะท่านพ่อ! ในที่สุดข้าก็เห็นธาตุแท้ของท่านเสียที ท่านท่องเที่ยวไปทั่วเพื่อเสาะแสวงหาของเลียนแบบนี่น่ะรึ…?”
แหวนมังกรทองสีสันสวยสดงดงามส่องประกายแสงสีทองแวววาวนั้น เป็นของวิเศษจากภูเขาสุสานทวยเทพที่ตกทอดมาจากสมัยก่อนซึ่งบิดาทิ้งไว้ให้เขา แต่เมื่อสักครู่ที่ตกกระทบพื้นเพียงแค่เบาๆ กลับแตกออกเป็นรอยขนาดใหญ่ปรากฏโลหะทองเหลืองที่อยู่ภายในโผล่ออกมาให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งหัวมังกรทองที่ส่องแสงแวววาวนั้นก็หักไปด้วย จะเหลืออยู่ก็เพียงแค่ส่วนหางอยู่ครึ่งหนึ่งกับรูแตกสีดำมืดเท่านั้น