อสูรทลายสวรรค์ - เล่มที่ 1 บทที่ 4 ของวิเศษล้ำค่า
ลานที่พักตระกูลเย่ด้านตะวันออก
เย่ชิงหานนั่งกลัดกลุ้มโดยลำพังอยู่ภายในห้องเล็กๆ
“เฮ้อ! คำพูดคุยโวก็ได้ลั่นออกไปแล้ว แล้วจะหาวิธีไหนมาเลื่อนขั้นพลังฝีมือดีเล่า?”
เย่ชิงหานถอดหายใจอย่างกลัดกลุ้ม เพื่อที่จะกดดันตัวเองและเพื่อทำให้ครอบครัวลูกคนรองกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง สองวันที่ผ่านมานี้เขาได้ลั่นวาจาที่แทบจะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ออกมาถึงสองครั้ง
คำสาบานต่อหน้าหลุมศพมารดาว่าจะทำตามคำขอก่อนตายของท่านให้สำเร็จ และที่ยากยิ่งไปกว่านั้นคือการนำป้ายวิญญาณของบิดามารดาไปบรรจุไว้ในวิหารวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากผู้ใหญ่ที่มีอำนาจภายในตระกูลที่บีบบังคับตน สิบปีก่อนบิดาเสียชีวิตโดยฉับพลัน ท่านลุงสี่หายสาบสูญ ท่านปู่หลีกเร้นกาย เหลือแค่ครอบครัวลูกคนโตที่มีลุงใหญ่กุมอำนาจสูงสุดของตระกูล ตนเองซึ่งเป็นครอบครัวลูกคนรองจึงกลายเป็นเด็กที่ไม่มีตัวตน คุณลุงไม่สนใจคุณยายไม่รักอะไรทำนองนั้น ทำให้ฐานะและความเป็นอยู่ภายในตระกูลตกต่ำลงอย่างมาก ขนาดว่าตนเองที่เป็นนายน้อยสายเลือดโดยตรงของตระกูลเมื่อเทียบกับศิษย์ในตระกูลที่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงแล้วยังมิอาจเทียบได้เลย
ตอนนี้ครอบครัวลูกคนรองเหลือเพียงแค่ตนเองกับน้องสาวสองคน น้องสาวเป็นเด็กที่บิดาเก็บมาเลี้ยงเมื่อหลายปีก่อน อาจจะพูดได้ว่าจริงๆ แล้วบ้านลูกคนรองเหลือเพียงแค่ตนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริงๆ ภาระหนักในการทำให้บ้านลูกคนรองกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งจึงเป็นสิ่งที่ตนต้องแบกรับโดยไม่อาจจะบอกปัดได้ ดังนั้นจึงต้องบีบบังคับและกดดันตนเองให้มากเข้าไว้เหมือนกับที่น้องสาวเคยกล่าวกับเขา “การผลักตนเองให้เดินไปในเส้นทางที่ไม่มีวันหวนกลับคืนมาได้อีก”
รวมทั้งวันนี้ที่เขาซัดเย่ชิงเสียนจนหมดสติ ทั้งยังได้ลั่นวาจาคุยโวออกไปอีกว่า ภายในระยะเวลาสามปีจะแข็งแกร่งกว่าเขาให้จงได้ แต่เขาก็รู้ดีว่าสองครั้งที่สามารถซัดจนเย่ชิงเสียนหมดสติได้นั้น ส่วนหนึ่งมาจากยุทธวิธีที่ตนเองใช้ในการต่อสู้ และอีกส่วนคือตัวเย่ชิงเสียนเองที่โง่เขลาซึ่งก็มีส่วนอย่างมาก
แต่คนโง่เขลาเฉกเช่นนี้ในตระกูลเย่นั้นมีอยู่แต่ก็ไม่มาก และทั่วทั้งทวีปมังกรเพลิงมีผู้คนมากมายมหาศาล หากตนหวังที่จะมีชีวิตอยู่อย่างราบรื่นแล้วละก็ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่ง เพราะบนโลกใบนี้พลังฝีมือคือทุกสิ่งทุกอย่าง!
เขตปกครองเทพสงครามมีเมืองหลักอยู่หกแห่ง นอกจากเมืองมังกรที่อยู่ใจกลางแล้ว อีกห้าเมืองหลักล้วนอยู่ในการครอบครองของตระกูลเฟิง ตระกูลฮวา ตระกูลเสว่ ตระกูลเยว่ และตระกูลเย่ ตำแหน่งจ้าวเมืองของเมืองมังกรเปลี่ยนผู้ครอบครองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ตำแหน่งจ้าวเมืองของอีกห้าเมืองหลักที่อยู่รอบนอกกลับถูกครอบครองโดยตระกูลทั้งห้ามาตลอดนับพันปีไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทำไมตระกูลทั้งห้าถึงได้ครอบครองห้าเมืองหลักนี้ได้ยาวนานนับพันปี นั่นก็เพราะว่าตระกูลทั้งห้าต่างมีสุดยอดวิชาลับประจำตระกูลที่เอาไว้ฝึกฝนลูกหลานของตน ดังนั้นตระกูลทั้งห้าจึงสามารถผลิตยอดฝีมือออกมาได้เรื่อยๆ ไม่ขาด ทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสารทิศ
สำหรับสุดยอดวิชาลับของตระกูลเย่คือการเรียกสัตว์อสูรออกมา กล่าวกันว่าคนตระกูลเย่มีสายเลือดของเทพอสูรบรรพกาลอยู่ในร่าง ทุกคนในตระกูลมีโอกาสสามครั้งที่จะปลุกพลังทางสายเลือดนี้เพื่อที่จะใช้ในการเรียกให้สัตว์อสูรออกมา
สัตว์อสูรสามารถต่อสู้ได้เองโดยลำพังและยังสามารถรวมร่างกับเจ้าของเพื่อร่วมกันต่อสู้ได้ หลังจากรวมร่างทั้งพลัง ประสาทรับรู้ ความเร็ว และพลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นอกจากนี้ยังมีสัตว์อสูรบางจำพวกที่หลังจากรวมร่างกับเจ้าของแล้วก่อให้เกิดความสามารถพิเศษชนิดใหม่ขึ้น ความสามารถพิเศษชนิดนี้มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงเป็นที่น่าสะพรึงกลัว ตัวอย่างเช่นสมัยที่เย่เทียนหลงเป็นหัวหน้าตระกูล เขามีสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด “หมียักษ์จ้าวดินแดน” ที่รวมร่างแล้วจะเกิดความสามารถใหม่ขึ้น “เกราะรบเจ้าดินแดน” อาศัยพลังความสามารถใหม่นี้ เย่เทียนหลงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มผู้มีพลังฝีมือระดับแนวหน้าของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นสวรรค์ของเขตปกครองเทพสงคราม และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเขาอาศัยเพียงแค่พลังฝีมือระดับแรกของขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ กลับได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์!
ด้วยเหตุนี้ตระกูลเย่ถึงสามารถครอบครองเมืองชางและเป็นใหญ่ในทางตอนใต้ของเขตปกครองเทพสงครามได้ยาวนานนับพันปี
ตระกูลเย่มีเงื่อนไขในการรับศิษย์โดยเฉพาะศิษย์สายในว่า จำเป็นจะต้องเรียกสัตว์อสูรอย่างน้อยคุณภาพระดับหกออกมาให้ได้ หรือว่าก่อนอายุสิบหกปีฝึกพลังปราณรบให้บรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์ ผู้ที่สามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับหกออกมาได้แสดงว่ามีเลือดเทพแฝงอยู่ภายในกายอย่างเข้มข้น ถึงแม้พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์จะไม่ดี แต่ตระกูลก็สามารถใช้ยาและเคล็ดวิชาลับต่างๆ ทำให้พลังฝีมือของเขาเพิ่มสูงขึ้นได้ หรือผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์ได้ก่อนอายุสิบหกปีแสดงว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่โดดเด่น สัตว์อสูรที่เรียกออกแม้จะมีระดับคุณภาพที่ต่ำหน่อยก็ไม่เป็นไร
พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของตนเองไม่ดีหรือไม่มีเอาซะเลย เริ่มฝึกยุทธ์ตอนอายุหกปีจนบัดนี้ฝึกมาได้สิบปีแล้วเพิ่งจะบรรลุถึงระดับแรกของขอบเขตขั้นสูง เหลือเวลาอีกแค่ปีเดียวจะทำอย่างไรถึงจะบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์ได้? มิหนำซ้ำความเข้มข้นของเลือดเทพที่มีอยู่ภายในกายก็ต่ำมาก ในการปลุกพลังทางสายเลือดสองครั้งที่ผ่านมาตอนอายุห้าปีและสิบปีล้วนล้มเหลว คาดว่าครั้งที่สามในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้างานเทศกาลมังกรเพลิงก็คงจะล้มเหลวอีกเป็นแน่ ข้าจะทำอย่างไรดี? เฮ้ออ…หากเย่ชิงอวี่เป็นน้องแท้ๆ ก็คงจะดี อย่างน้อยนางก็ยังมีโอกาส แต่น่าเสียดายที่นางไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลเย่
เย่ชิงหานครุ่นคิดอยู่ภายในใจอย่างเงียบๆ สองคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น
ลูกหลานตระกูลเย่ทุกคนมีโอกาสคนละสามครั้งในการเข้าร่วมการปลุกพลังทางสายเลือด แบ่งออกเป็นช่วงอายุห้าปี สิบปีและสิบห้าปี โดยทุกๆ ปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง เป็นที่รู้กันดีว่าหากการปลุกพลังสองครั้งแรกไม่สำเร็จครั้งที่สามโอกาสก็ยิ่งริบหรี่ เพราะสองครั้งก่อนหน้าที่ล้มเหลวย่อมแสดงให้เห็นว่าเลือดเทพภายในกายมีระดับที่เบาบางเกินไป ไม่สามารถใช้พลังทางสายเลือดกระตุ้นสัตว์อสูรให้เกิดการตอบสนองได้ จึงถือว่าล้มเหลว
เย่ชิงอวี่แม้จะแซ่เย่ แต่นางไม่ใช่ลูกหลานของตระกูล เป็นเพียงเด็กที่บิดาของตนเก็บเอามาเลี้ยง ภายในร่างจึงไม่มีเลือดเทพแฝงอยู่ ดังนั้นพลังวิชาต่างๆ รวมไปถึงการปลุกพลังทางสายเลือดนางจึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะฝึก
ส่วนเย่ชิงหานอายุสิบห้าปีพลังปราณรบเพิ่งบรรลุถึงระดับแรกของขอบเขตขั้นสูง การปลุกพลังทางสายเลือดตอนอายุห้าปี สิบปีล้วนล้มเหลว พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ก็ไม่ดีอีก พวกผู้ใหญ่ในตระกูลต่างก็ประเมินว่าอนาคตเขาไปได้ไม่ไกล ด้วยเหตุนี้จึงถูกส่งให้มาอยู่ที่ลานพักเล็กๆ ซอมซ่อเช่นนี้ เมื่อตอนที่เขาคุกเข่าอยู่หน้าประตูใหญ่หอผู้อาวุโสทั้งคืนก็ไม่มีใครสนใจ แถมยังจะถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูลข้อหามาส่งเสียงรบกวนสร้างความรำคาญแก่เหล่าผู้อาวุโส
……………………………
“เอี๊ยด!”
ในขณะที่เย่ชิงหานกำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ประตูห้องถูกผลักออก เย่ชิงอวี่ที่อยู่ในชุดสีขาวดูราวกับภูติสวรรค์ในราตรีที่มืดมิดเดินตรงเข้ามา ในมือนางประคองกล่องใบหนึ่ง
“ชิงอวี่เจ้ายังไม่นอนรึ?” เย่ชิงหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ด้วยรูปร่างที่บอบบางและอากัปกิริยาท่าทางของสาวน้อยที่ราวกับต้องการการปกป้องของนาง ทำให้เย่ชิงหานพลันบังเกิดความรู้สึกที่อ่อนโยนขึ้นภายในจิตใจ
“อืม! ท่านพี่ก็ยังไม่นอนมิใช่หรือ?” เย่ชิงอวี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา วางกล่องที่อยู่ในมือลงไปยังโต๊ะหนังสือที่อยู่ตรงหน้า หลังจากจัดชุดให้เข้าที่นางจึงกระแอมขึ้นครั้งหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “ท่านพี่ ข้าขอถามอะไรท่านสักอย่างหนึ่ง สมมติว่า…ข้าหมายถึงสมมติน่ะ ข้าอยากให้ท่านพาข้าหนีไปให้ไกลจากตระกูลเย่ หาอำเภอเล็กๆ ที่ห่างไกลที่ไหนสักแห่ง แล้วพวกเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแบบนั้นไปตลอดชีวิต ท่านพี่จะยินดีหรือไม่?”
“เอิ่มมม?” มองดูใบหน้าของน้องสาวที่ราบเรียบไม่มีความรู้สึกใดๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เย่ชิงหานเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่นางพูดออกมานั้นจริงจัง ภายในใจเริ่มที่จะครุ่นคิดอย่างจริงจังขึ้นมา คิดอยู่สักพักแต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดีจึงได้แต่ตอบออกไปอย่างง่ายๆ “คำถามนี้ข้ายังไม่เคยคิดมาก่อน แต่ไม่เป็นไร หากเจ้าอยากจะใช้ชีวิตเช่นนั้นจริงๆ ข้าจะพิจารณามันอย่างจริงจังอีกทีก็แล้วกัน”
“เหอะๆ! ท่านแม่พูดไว้ไม่ผิดจริงๆ ท่านพี่เป็นพวกที่เลือดในกายเร่าร้อนไม่ยินดีใช้ชีวิตแบบปุถุชนคนธรรมดา ตั้งแต่ที่ท่านสาบานต่อหน้าหลุมศพข้าก็พอจะมองออกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนั้นของสิ่งนี้ท่านจงรับไปเถอะ” เย่ชิงอวี่ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความฝืนใจและความอับจนปัญญา นางค่อยๆ ดันกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะไปข้างหน้า
“นี่คือ?” คิ้วทั้งสองข้างของเย่ชิงหานกระดกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
เย่ชิงอวี่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจตนาเดิมของท่านแม่รู้ว่าพรสวรรค์ของท่านพี่ไม่ค่อยดีนัก บวกกับนิสัยที่แข็งกร้าวชอบต่อสู้ เส้นทางของการฝึกยุทธ์ไม่น่าจะมีความสำเร็จอะไรมาก จึงหวังเพียงให้ท่านพี่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรียบง่าย กำชับข้าไม่ให้มอบของสิ่งนี้ให้ท่านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในใจ ถ้าหากภายภาคหน้าลูกหลานที่เกิดมามีพรสวรรค์โดดเด่นค่อยส่งต่อของสิ่งนี้ให้พวกเขาไป แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อท่านพี่ตั้งปณิธาณว่าจะฝึกยุทธ์ให้ได้แถมยังให้สัตย์สาบานต่อหน้าหลุมฝังศพของท่านแม่อีก ข้าก็คงต้องขัดเจตนาของท่านแม่แล้วละ ของสิ่งนี้คือบันทึกประสบการณ์การฝึกยุทธ์และยังมีของวิเศษที่ท่านพ่อใช้ชีวิตแลกมาจากภูเขาสุสานทวยเทพ”
เย่ชิงอวี่คล้ายกับว่าได้วางเรื่องราวที่หนักอึ้งภายในจิตใจออกไป ทั่วสรรพางค์กายรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมาเย่ชิงหานต้องทนทุกข์กับความโศกเศร้าเสียใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวและความขมขื่นอับจนปัญญา นางล้วนมองเห็นและรับรู้อยู่โดยตลอด นางเคยคิดที่จะมอบของสิ่งนี้ให้เย่ชิงหานแต่ติดตรงที่มารดาได้สั่งกำชับไว้ ในที่สุดตอนนี้ก็ได้มอบออกไปแล้ว เรื่องราวที่ค้างคาอยู่ภายในใจก็ปล่อยวางได้เสียที หวังว่าของสิ่งนี้จะมีประโยชน์ช่วยในการฝึกยุทธ์ของท่านพี่บ้าง
“บันทึกประสบการณ์การฝึกยุทธ์และของวิเศษที่ท่านพ่อใช้ชีวิตแลกมา?”
แม้ภายนอก ใบหน้าของเย่ชิงหานราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่ภายในใจตื่นเต้นดีใจราวกับคลื่นยักษ์ที่พัดกระพือโหมซัดอย่างบ้างคลั่ง
เย่เตาผู้เป็นบิดา…ยอดฝีมืออันดับสอง ผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่ร้ายกาจที่สุดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบร้อยปีของตระกูล อายุหกปีใช้เวลาฝึกฝนเพียงหนึ่งเดือนบรรลุถึงระดับขอบเขตผู้กล้า ครึ่งปีทะลวงจุดชีพจรทั่วร่างทั้งสิบสองจุดบรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ ยี่สิบแปดปีบรรลุถึงระดับขอบเขตราชาจักพรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนอายุสามสิบปีเขาสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปด “ราชสีห์มังกร” ออกมาได้ กลายเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในรอบร้อยปีของตระกูลเย่ และยังถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐพี
แต่น่าเสียดายเย่เตามีนิสัยดื้อรั้นไม่เชื่อฟังใครมาแต่กำเนิด บ่อยครั้งที่ฝ่าฝืนไม่ฟังคำตักเตือนจากทางตระกูลและจากเย่เทียนหลง มิหน้ำซ้ำยังลอบทำการตกลงเป็นสามีภรรยากับมารดาของตนที่เป็นหญิงในหอนางโลมอย่างลับๆ แล้วพากลับมาอยู่ด้วย คนในตระกูลทั้งรักทั้งชังเย่เตา ท่านปู่เย่เทียนหลงก็แทบจะกระอักเลือดเพราะความโกรธหลายต่อหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นานเย่เตาได้ออกเดินทางโดยลำพังไปยังหนึ่งในสามสถานที่ที่อันตรายที่สุดของทวีปเพื่อเสาะหาของวิเศษ ซึ่งที่แห่งนั้นถูกจัดว่าเป็นที่ที่อันตรายที่สุดอันดับหนึ่ง “ภูเขาสุสานทวยเทพ” และโชคไม่ดีที่เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น
คนในตระกูลทั้งชื่นชมทั้งโกรธแค้นและทั้งทอดถอนใจ ชื่นชมคือด้านพรสวรรค์ โกรธแค้นคือด้านตัวบุคคล ทอดถอนใจคือด้านโชคชะตาชีวิต
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ทั้งพรสวรรค์และความสำเร็จทางด้านการฝึกยุทธ์ของเย่เตาเป็นที่ยอมรับของผู้คนทั่วทั้งทวีปมังกรเพลิง
เย่ชิงหานไม่คาดคิดมาก่อนเลยจริงๆ ว่าภายในกล่องเล็กๆ ใบนี้จะมีบันทึกประสบการณ์การฝึกยุทธ์ของผู้มีพลังฝีมือระดับขั้นที่สามของขอบเขตราชาจักรพรรดิซึ่งก็คือบิดาของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีของวิเศษที่ตกทอดมาจากสถานที่อันตรายที่สุดอันดับหนึ่งของทวีปอย่างภูเขาสุสานทวยเทพอีกด้วย ถ้าพูดกันตามหลักเหตุผลแล้วของพวกนี้น่าจะถูกทางตระกูลยึดไปตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่ามารดาของตนจะเก็บซ่อน รักษาไว้มาโดยตลอดจนถึงบัดนี้และถูกส่งต่อมาสู่ตน
“ท่านพี่ ท่านค่อยๆ ดูไปแล้วกัน ข้าจะกลับไปนอนแล้ว” เย่ชิงอวี่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติยินดีของเย่ชิงหาน นางยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยเสียงอันเบาแล้วผลักประตูเดินจากไป
เย่ชิงหานพูดตอบรับไปคำหนึ่งแล้วจึงรีบเปิดกล่องออกดูอย่างรวดเร็ว ภายในกล่องมีสมุดบันทึกสีเหลืองเล่มหนึ่งและแหวนสีทองรูปมังกรที่มีสีสันแวววาวสวยสดงดงาม
“คัมภีร์แก่นแท้วรยุทธ์”
“แหวนวิเศษมังกรทอง”
โอ้ว! ภายในใจเย่ชิงหานรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพียงแค่คัมภีร์แก่นแท้วรยุทธ์ที่เขียนจากประสบการณ์การฝึกยุทธ์ของบิดาผู้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบผู้มีพลังฝีมือระดับชั้นปฐพี แค่สิ่งนี้ก็เป็นของที่ล้ำค่าและมีราคาอย่างยิ่งแล้ว แถมยังมีแหวนวิเศษมังกรทองอีก แหวนวงใดก็ตามหากมีรูปแกะสลักมังกรหรือหงส์ปรากฏอยู่ย่อมหมายถึงเป็นของดีอย่างแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นแหวนวงนี้ยังได้มาจากสถานที่ที่อันตรายที่สุดอันดับหนึ่งของทวีป “ภูเขาสุสานทวยเทพ”
เย่ชิงหานหยิบบันทึกออกมาเปิดดู ตัวอักษร “มังกร” และ “หงส์” ที่เข้มแข็งและทรงพลังน่าพิศวงปรากฏเด่นต่อสายตาของเขา
“วิถีของการฝึกยุทธ์คือ…การฝืนลิขิตฟ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตา! ตั้งแต่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ต่ำลงไปล้วนอาศัยพรสวรรค์ส่วนตัวและความมุมานะของผู้ฝึกฝน ไม่มีหนทางลัดให้เลือกเดิน ผู้ที่พรสวรรค์ไม่ดีชั่วชีวิตหมดหวังได้บรรลุถึงจุดสูงสุด
ตั้งแต่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ขึ้นไปล้วนอาศัยสติปัญญาและโชคชะตาของผู้ฝึกฝน ผู้ที่มีมันสมองที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบปฏิภาณว่องไว มีสติปัญญามากและมีโชคชะตาที่ดี มีโอกาสเหยียบย่างไปถึงขอบเขตแห่งเทพ ตัวข้าฝึกยุทธ์เป็นเวลายี่สิบกว่าปีบรรลุถึงระดับขั้นที่สามของขอบเขตราชาจักรพรรดิ อาศัยสัตว์อสูรคุณภาพระดับแปดราชสีห์มังกรตะลุยไปทั่วเขตปกครองเทพสงคราม ได้แสดงพลังฝีมือของตนให้ประจักษ์ในงานประลองสงครามระหว่างเขตปกครอง โดยต่อสู้ประมือกับสามจักพรรดิปีศาจแห่งเขตปกครองเทพปีศาจโดยลำพังคนเดียว สังหารยอดฝีมือของเขตปกครองเทพปีศาจ จ้าวปิศาจ จักรพรรดิปีศาจ และยอดฝีมือของเขตปกครองเทพคนเถื่อน จ้าวคนเถื่อน…มานับไม่ถ้วน บัดนี้ตัวข้าได้มอบบันทึกประสบการณ์การฝึกยุทธ์ฉบับนี้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง”
เป็นดั่งที่คาดคิดไว้จริงๆ!
แม้ว่าเย่ชิงหานจะตื่นตะลึงกับประวัติการต่อสู้ของบิดา แต่ภายในจิตใจกลับบังเกิดความรู้สึกเศร้าสลดขึ้นมา เนื่องจากตามที่บันทึกกล่าวไว้ ผู้ที่พรสวรรค์ไม่ดีชั่วชีวิตอย่าหวังได้บรรลุถึงจุดสูงสุด การฝึกยุทธ์อย่างไรก็ต้องอาศัยพรสวรรค์ หากพรสวรรค์ไม่ดีต่อให้มุมานะฝึกฝนสักเพียงใดระดับขอบเขตที่จะบรรลุถึงได้ก็มีขีดจำกัด
เย่ชิงหานในใจแสนจะเจ็บปวดเมื่อนึกถึงสภาพจุดชีพจรที่อุดตันภายในร่างของตนเอง
เดิมทีคิดว่าบิดาของตนที่มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นจนน่าตกใจนั้น จะต้องมีคุณสมบัติพิเศษทางร่างกายอะไรบางอย่างที่มีมาแต่กำเนิดที่ไม่สนใจต่อสภาพร่างกายเนื้อ จึงทำให้เขาฝึกพลังปราณรบได้อย่างรวดเร็วราวกับมีทางลัด แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพียงแค่ประโยคแรกของบิดาที่เขียนไว้ในบันทึกก็เหมือนดั่งคำสั่งโทษประหารสำหรับเขาแล้ว
พรสวรรค์…! ข้าต้องการพรสวรรค์…!
หากไม่มีพรสวรรค์ที่ดีพอต่อให้ตนเองมุมานะฝึกฝนสักเพียงใดก็คงไม่มีประโยชน์ ชั่วชีวิตนี้อย่างมากบรรลุถึงแค่ระดับขั้นที่สามของขอบเขตยอดยุทธ์ก็ถือว่าดีเกินพอแล้ว จะทำอย่างไรได้ในเมื่อจุดชีพจรภายในร่างอุดตันไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมายเสียเหลือเกิน ถ้าคำนวณจากความเร็วในการฝึกฝนในปัจจุบัน ชีวิตนี้ทั้งชีวิตตนคงทำได้แค่เพียงบรรลุถึงระดับขอบเขตยอดยุทธ์เท่านั้น
ดูเหมือนว่าอาศัยเส้นทางการฝึกยุทธ์คงไม่มีหวังเสียแล้ว คงต้องดูต่อไปว่ายังมีอะไรน่าสนใจอยู่อีกไหม?
เย่ชิงหานพลิกสมุดบันทึกที่อยู่ในมือดูต่อไปเรื่อยๆ ภายในใจยังแอบหวังให้เจอสิ่งที่พอเป็นประโยชน์กับตนบ้าง
“บันทึกเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคัมภีร์แก่นแท้วรยุทธ์ ใช้เพื่อฝึกพลังปราณรบ…ส่วนที่สองคัมภีร์ลับเลือดเทพ หากลูกหลานตระกูลเย่ได้ฝึกฝนจะสามารถเพิ่มพูนความเข้มข้นของเลือดเทพภายในร่าง มีโอกาสมากที่จะสามารถเรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดออกมา หรือบางทีอาจถึงคุณภาพระดับเก้าเลยก็เป็นได้…”
“อะไรนะ? คัมภีร์ลับเลือดเทพ? สามารถช่วยให้เรียกสัตว์อสูรคุณภาพระดับเจ็ดขึ้นไปออกมาได้…”
ฮ่าๆๆๆ!!
จิตใจเย่ชิงหานจากเดิมที่ห่อเหี่ยวและหมดหวัง ทันใดนั้นกลับเหมือนดั่งกระแสคลื่นขนาดใหญ่ที่กระทบเข้าหาฝั่ง โหมซัดขึ้นอย่างบ้าคลั่ง