Another Monster - ตอนที่ 4.2 ลุงค์เก้ 2
– ก่อนอื่น ช่วยบอกผมทีว่าคุณมาเกี่ยวข้องกับคดีของโยฮันได้ยังไง?
“อย่างที่คุณรู้ BKA คือ FBI ฉบับเยอรมัน… องค์กรที่จัดการกับคดีที่เกิดขึ้นทั่วทุกรัฐภายในประเทศแต่ด้วยเศษเสี้ยวของอำนาจจัดการเมื่อเทียบกับฝั่งสหรัฐ ผมเพียงแค่ถูกเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาให้ตำรวจในพื้นที่ระหว่างการสืบสวนคดีวางยาพิษแพทย์สามคนของโรงพยาบาลดุสเซิลดอร์ฟไอซ์เลอร์ในปี 1986”
– แล้วคุณคิดเห็นอย่างไรกับคดีที่เป็นจุดเริ่มต้นนี้?
“วิธีการฆ่านั้นดูเชี่ยวชาญมาก, แต่ผมไม่เห็นแรงจูงใจอื่นเลยนอกจากความแค้น”
– แล้วความรู้สึกแรกพบของคุณที่มีกับดร.เทนมะล่ะครับ?
“ศัลยแพทย์สมองชาญฉลาดผู้ที่ทั้งตำแหน่งในโรงพยาบาลและการหมั้นกับลูกสาวของผู้อำนวยการถูกแย่งชิงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนการฆาตกรรม ผมไม่เคยลองทำโปรไฟล์กับชาวญี่ปุ่นมาก่อน แต่ผมพบว่ามันค่อนข้างง่ายที่จะเข้าไปในส่วนๆหนึ่งของตัวตนเขา เขามีความแค้นกับผู้อำนวยการโรงพยาบาล”
– ทำไมคุณถึงไม่ควบคุมตัวดร.เทนมะล่ะ? ทางตำรวจน่าจะสามารถนำตัวเขาไปสอบปากคำได้นะ
“คดีนั้นขาดพยานหลักฐานอย่างมาก และมันก็ส่งกลิ่นของอาชญากรรมที่ชาญฉลาดออกมาด้วย… อาชญากรรมที่ผุดขึ้นมาจากความขัดแย้งระหว่างผู้ก่อเหตุกับเหยื่อ ผมคิดว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง, คนที่ได้ผลประโยชน์มากสุดจากการฆาตกรรมก็จะโผล่มาเอง”
– และคุณก็เคยได้ยินเรื่องที่เด็กฝาแฝดหายตัวไปจากโรงพยาบาล
“ใช่ ในตอนนั้น เรามองการหายตัวไปของเด็กๆเหมือนกับคดีการฆ่าครอบครัวลีเบิร์ท, คือปัญหาของเยอรมันตะวันออก แน่นอนว่านี่คือก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะพังทลายลง”
– คุณคิดและทำอะไรบ้างเกี่ยวกับคดีนี้ในช่วงเวลาเก้าปีระหว่างคดีนี้กับคดีใหม่ที่เกิดที่โรงพยาบาลนอยเออไรน์
“มันจริงที่ผมไปทำคดีอื่นในช่วงเวลานั้น แต่ผมไม่เคยลืมเรื่องของเทนมะ ผมรู้สึกได้ว่ามันจะมีอะไรบางอย่างจากคดีนั้นอีก และผมบอกกับตัวเองว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ผมจะไม่ยอมให้เขาหนีไปได้”
– และก็ตามที่คุณสงสัย, เรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้นเพิ่มอีก ผมได้ข้อมูลมาว่าคุณบังเอิญทำคดีฆาตกรรมคู่รักวัยกลางคนอยู่พอดี ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องสงสัยคือดร.เทนมะ
“ถูกต้อง คดีฆาตกรรมคู่รักวัยกลางคนทั่วเยอรมนีถูกจัดฉากให้ดูเหมือนการปล้น แต่ผมไม่เชื่ออย่างนั้น มันเห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของคนหลายคน และหนึ่งในนั้นก็ถูกออกหมายจับแล้ว ชายคนหนึ่งที่ชื่อ อดอล์ฟ ยุงเกลส์ ผู้ทำหน้าที่เป็นนักสะเดาะกุญแจประจำกลุ่ม เราได้รับรายงานว่าเขาถูกรถชนในดุสเซิลดอร์ฟและถูกนำตัวไปที่โรงพยาบาลนอยเออไรน์ ดังนั้นผมเลยไปที่นั่น และนั่นคือที่ๆผมพบกับดร.เทนมะอีกครั้งหนึ่ง”
– และคุณก็เริ่มไปที่โรงพยาบาลเพื่อสอบปากคำยุงเกลส์ ก่อนที่เขาจะหนีออกจากโรงพยาบาลในคืนหนึ่งและถูกฆ่าตาย เจ้าหน้าที่ที่ยืนเฝ้ายามก็ถูกวางยาพิษและเทนมะก็บอกว่าเขาเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์การฆ่าครั้งนี้
“ตอนที่ผมได้ยินว่ายาพิษที่ใช้ฆ่าเจ้าหน้าที่เฝ้ายามคือยาคลายกล้ามเนื้อ, ผมก็สังเกตเห็นความเชื่อมโยงถึงยาพิษที่เคยใช้ฆ่าแพทย์สามคนเก้าปีก่อนหน้า และคนๆเดียวที่ต้องสงสัยก็คือเทนมะ”
– คุณคิดอย่างไรกับเรื่องที่เทนมะเล่า… ที่ว่าการฆาตกรรมทั้งหมดคือฝีมือของโยฮัน ฝาแฝดคนพี่ที่หายตัวไป?
“จากลักษณะเฉพาะของคดีนี้, ผมเลยประเมินความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับตัวตนของเทนมะอีกครั้ง การฆาตกรรมดั้งเดิมของเขานั้นทำไปเพราะความเกลียดและการล้างแค้น แต่ตอนนี้เขากลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าเพราะความปิติส่วนตัว เขามีตัวตนอีกคนภายในที่ชื่อโยฮัน และก็เป็นโยฮันนี่แหละที่เป็นผู้ก่อคดีผ่านตัวเขา เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าโยฮันนี่เองที่เป็นต้นเหตุของความหายนะของเขาเมื่อเก้าปีก่อน, ดังนั้นเพื่อที่จะโยนทุกอย่างไปยังโยฮัน, เทนมะสร้างตัวตนอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมา… เขากลายเป็นคนหลายบุคลิก”
– คุณคิดว่าคดีฆาตกรรมคู่รักวัยกลางคนก็เป็นฝีมือของเขาเหมือนกันน่ะเหรอ?
“ตอนนั้นผมเคยคิดว่ามันบ้า แต่เมื่อครอบครัวฟอร์ทเนอร์และคนสวนของปราสาทไฮเดลเบิร์กถูกฆ่า ผมก็เริ่มลองคิดถึงความเป็นไปได้นี้ สิ่งที่ใช้รัดคอของคนสวนคนนั้นคือเน็คไทของเทนมะ”
– แต่มันจะเป็นไปได้เหรอที่ชายผู้ใช้ชีวิตอย่างปกติและปฏิบัติตัวตามกฎหมายจะกลายไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องในทันที?
“ฆาตกรต่อเนื่องมักจะแสดงอาการออกมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อาการจะแสดงออกมาช้าถึงช่วงวัยสามสิบปี”
– นั่นคือตอนที่คุณไปจับดร.เทนมะ แต่เขาหลบหนีไป แล้วคุณคิดยังไงกับเรื่องของนีน่า ลูกสาวของสามีภรรยาฟอร์ทเนอร์ล่ะ? เธอก็หายตัวไปเหมือนกัน
“ผมเชื่อว่ามีโอกาสสูงมากที่เทนมะจะฆ่าเธอไปแล้ว”
– หลังจากนั้น เทนมะถูกพบเห็นตัวที่แวร์เดนและเบอร์ลิน, แต่ตำรวจไม่สามารถจับกุมตัวเขาได้เลย
“ด้วยความสัตย์จริง ผมเคยคิดว่าผมจะจับตัวเขาได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อผมถามอดีตทหารรับจ้างที่เคยสอนเทนมะใช้ปืน ผมก็เปลี่ยนความคิด ผมตระหนักได้ว่าเทนมะมีความสามารถที่ทำให้ได้รับความเคารพและความช่วยเหลือจากคนที่เขาเกี่ยวข้องด้วย”
– มีรายงานว่าคุณเริ่มจะไล่ล่าเทนมะอย่างหนักหลังจากที่การกระทำของคุณในคดีของโบลท์ซมันน์ทำให้คุณไม่มีคดีอื่นให้ทำไประยะหนึ่ง…
“มันก็จริง เพราะว่าคดีนั้น ผมเลยถูกปลดออกจากหลายๆคดีที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนั้น เพราะผมทำงานโดยไม่หยุดพักมาจนกระทั่งถึงจุดๆนั้น, สถานการณ์ในครอบครัวผมเลยกำลังโกลาหล หัวหน้าบอกผมค่อนข้างหนักแน่นว่า’ไม่มีอะไรให้นายทำแล้ว’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพื่อนร่วมงานจะมองว่าผมเป็นนักสืบชั้นยอดที่ต้องมาอับอายขายหน้า อย่างไรก็เถอะ ผมค่อนข้างจะดีใจนะ และผมไม่ได้หมายความว่ามันคือการแสดงถึงความกล้าหาญนะ มันหมายถึงผมสามารถที่จะทุ่มสมาธิไปยังตัวตนที่น่าหลงใหลของดร.เทนมะ”
– ต่อจากนั้น คุณตัดสินว่าคดีฆาตกรรมคู่รักวัยกลางคนที่เกิดขึ้นอีกครั้งในฮัมบูร์กเป็นเพียงการฆาตกรรมเลียนแบบ และตอนนั้นเอง คุณไปพบเข้ากับดร.เทนมะ แต่เขาหลบหนีคุณไปได้
“เขาไม่ใช่ชายผู้อ่อนแอเหมือนที่เขาเคยเป็นอีกต่อไปแล้ว แปลกพอตัวที่การเติบโตของเขานั้นน่าประหลาดใจมาก”
– ต่อมาคุณไปพบกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเทนมะสมัยมหาวิทยาลัย ดร. รูดี้ กิลเลน คุณใช้ประโยชน์จากการที่เขาเชื่อว่าเทนมะบริสุทธิ์ในการเรียนรู้ว่าเทนมะอยู่ที่มิวนิค คุณยังคงสงสัยเทนมะอยู่อีกเหรอ?
“ใช่”
– แม้แต่หลังจากที่คุณอ่านรายงานของกิลเลนเกี่ยวกับเทนมะงั้นเหรอ?
“ใช่ เมื่อผมเห็นข้อความที่คนที่ควรจะเป็นโยฮันทิ้งมันไว้… ข้อความนั้นบอกว่า ‘ดูผมสิ, ดูผมสิ อสูรกายในตัวผมเติบโตขึ้นมาขนาดนี้แล้วนะ’ ผมเชื่อว่ามันเพียงแต่จะยืนยันโรคหลายบุคลิกของเทนมะ จนกระทั่งผมไปที่มิวนิคเพื่อพบกับกลุ่มนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น และผมก็บังเอิญไปเจอกับหนังสือภาพแปลกๆจากเช็กที่ชื่อ “ปีศาจไร้ชื่อ” และมันก็มีส่วนในหนังสือนั้นที่เขียนข้อความเดียวกันไว้ และบางอย่างในตัวผมก็เริ่มเปลี่ยนไป”
– อย่างไรก็ตาม เมื่อเทนมะพยายามฆ่าโยฮันในห้องสมุดมหาวิทยาลัยมิวนิค คุณก็คิดว่าเขาพยายามฆ่าชูวัลด์, นักการเงินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเยอรมนีตอนใต้
“ใช่,ผมคิด แต่เมื่อไฟที่เผาห้องสมุดดับลงและเราได้รับรายงานจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์, ผมก็ถูกบังคับให้ยอมรับว่าตรรกะของผมนั้นมีข้อผิดพลาดเยอะเกินไป”
– มันคือเมื่อไหร่กันที่คุณเริ่มจะรู้สึกได้ว่าโยฮันมีตัวตนอยู่จริงๆ?
“การมีตัวตนของโยฮัน… ผมคงไม่มีทางเชื่อเรื่องจินตนาการอะไรแบบนั้นแน่ ไม่มีมนุษย์คนไหนหรอกที่ไม่ทิ้งร่องรอยไว้เบื้องหลัง และถ้าจะมี, เขาคนนั้นคงต้องเป็นปีศาจ แต่โลกนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ดังนั้นมันจึงไม่มีมนุษย์คนไหนที่เราตามจับไม่ได้ แต่ก็เป็นตอนนั้นที่ผมไปยังอพาร์ทเมนท์ที่ครั้งหนึ่งโยฮันควรจะอาศัยอยู่ และผมรู้สึกได้, ผมรู้สึกได้ว่ามีมนุษย์คนหนึ่งในโลกใบนี้ที่ไม่มีตัวตน”
หนังสือ “ปีศาจไร้ชื่อ” ของเอมิล เชเบ้ฉบับแปลญี่ปุ่น (สำนักพิมพ์โชกะคุคัง) หนังสือเล่มนี้, ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของคดีโยฮัน ก็เป็นที่รู้จักในการเป็นหนังสือแปลจากภาษาเช็กเล่มแรกของนาโอกิ อุราซาว่า
– ดังนั้นคุณเลยลาพักร้อนยาว และมุ่งหน้าไปยังปราก
“ใช่ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือเพื่อที่จะหาข้อมูลของเอมิล เชเบ้ ผู้แต่ง “ปีศาจไร้ชื่อ” เพิ่ม ส่วนเหตุผลอีกอย่างก็คือการวางยาพิษด้วยกรดไนตริกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเช็กสามนาย”
– มันไม่ค่อยมีสื่อไหนที่นำเสนอเรื่องหนังสือภาพนี้เลย
“เพราะพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เอมิล เชเบ้… ยาคอบ ฟาโรเบ็ค… เคลาส์ พ็อพเป้… นามปากกาที่ล้วนแตกต่างกันสำหรับผู้เขียนคนเดียวกัน มันมีบางอย่างที่แปลกในแต่ละงานของเขาที่จะทิ้งความรู้สึกแย่ๆไว้ในปาก แต่ผลกระทบแบบไหนล่ะที่มีต่อคนที่อ่านมัน, สารที่เขาต้องการจะสื่อคืออะไร และจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่… แน่นอนว่ามันเป็นผลงานที่จะทิ้งความรู้สึกหลังอ่านที่ไม่อาจลืมไว้ แต่มันก็ไม่มีอะไรที่เราจะพูดได้ไปมากกว่านี้แล้ว มันยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าเชเบ้นั้นเป็นใครกันแน่”
———-
แต่ท้ายที่สุดคุณลุงค์เก้ก็สามารถสัมผัสถึงเบื้องหลังของโยฮันได้ในกรุงปราก การมีตัวตนของโยฮันถูกพิสูจน์ แต่ปีศาจตนนี้เกิดที่ไหนกัน และเขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่แห่งใด…? ผมเริ่มที่จะตั้งสมมุติฐานอย่างหลวมๆ เป็นตอนนี้เองที่ผมตั้งใจจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจนเมื่อผมไปเยือนสาธารณรัฐเช็ก และตามที่ผมจะเล่าในภายหลัง หนังสือภาพเล่มนี้และคนที่เขียนมัน เอมิล เชเบ้ คือจุดศูนย์กลางของคดีนี้…
ตามที่อดีตสารวัตรลุงค์เก้สัญญาไว้ เขานึกถึงสิ่งที่เขารู้และคิดด้วยความจำที่แม่นยำของเขา ลุงค์เก้กล่าวว่าโยฮันเคยเย้ยหยันความสามารถของเขา แต่ผมกลับรู้สึกทึ่งกับข้อมูลเชิงลึกที่เขาได้แสดงออกมา และผมก็เชื่อว่า หากไม่มีเขา คดีนี้ก็คงไม่มีวันที่จะไขได้
ในตอนท้ายของการสัมภาษณ์ ผมถามเขาเกี่ยวกับการล้างสมอง — คนๆหนึ่งจะสามารถชักใยและควบคุมคนอื่นได้อย่างไร?
“มันเรียบง่ายมาก” คุณลุงค์เก้กล่าว เขาถามผมว่าตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่ไหน เมื่อผมตอบไปว่าเวียนนา เขาก็ถามว่า “งั้น, คุณสามารถวาดแผนที่ของเมืองแบบเป๊ะๆได้ไหม? รวมไปถึงถนนทุกสายด้วย” ผมเค้นสมองเพื่อนึกถึงแผนที่ของเวียนนาในหัว จากนั้นก็เริ่มต้นวาดแผนที่ลงในสมุดจดของผม พร้อมๆกับที่เขาเจตนาสังเกตสีหน้าของผมไปด้วย เมื่อผมยอมแพ้ พูดว่าผมไม่สามารถวาดแผนที่แบบแม่นยำได้จริงๆ เขาก็หยิบเอาสิ่งที่ผมวาดไปดู
“นี่คือส่วนไหนของเวียนนางั้นเหรอ?” เขาถาม
ผมตอบอย่างเจื่อนๆว่านั่นคือย่านที่ผมอาศัยอยู่ และเขาก็ตอบกลับมาว่า “ดังนั้น สำหรับคุณแล้ว นี่คือศูนย์กลางของเมือง; ไม่สิ, ศูนย์กลางของโลกของคุณ” พร้อมกับมองมาที่ผม “เมื่อคุณจินตนาการที่สถานที่ที่ชื่อเวียนนา คุณใช้ที่ๆคุณอาศัยอยู่เป็นจุดเริ่มต้น และนึกถึงถนนและสถานที่ต่างๆโดยอิงกับที่อยู่ของคุณ… และแม้กระทั่งตอนที่คุณได้แผนที่จริงๆของเวียนนา คุณก็มักจะมองเห็นย่านที่คุณอาศัยอยู่เป็นจุดศูนย์กลางเสมอ”
เมื่อผมพยักหน้ารับว่าผมเข้าใจ เขาก็พูดต่อ “ณ จุดศูนย์กลางของจิตใจของคุณ, ซึ่งก็เหมือนกับแผนที่นี้นี่แหละ มันมีรากฐานของอัตตาของคุณอยู่ที่นั่น — ตัวตนของคุณ”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง
“แต่ทันใดนั้นเอง แกนระบุทิศของคุณก็ถูกเอาออกไป จุดศูนย์กลางนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร… และมีศูนย์กลางอื่นที่เหมาะกับหัวใจของคุณมากกว่า นี่คือความเป็นจริงของสิ่งที่เราเรียกกันว่าการล้างสมอง” เขายิ้ม”
“และเมื่อแกนแห่งจิตใจของมนุษย์ถูกเอาออกไปและพวกเขาหลงทาง คุณก็ค่อยๆหลอกล่อพวกเขาด้วยคำพูด, ไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสได้คิด, ยื่นข้อเสนอสถานที่แห่งใหม่ให้พวกเขาได้อาศัย… คุณจะพบว่ามนุษย์นั้นจะยอมทำตามคำสั่งของใครก็ตามที่มอบบ้านหลังใหม่นี้ให้กับพวกเขา… พวกเขาจะเชื่องอย่างน่าประหลาด”
– ผมรู้ว่านี่เป็นคำถามที่ยากจะถาม แต่ความรู้สึกของคุณตอนนี้ที่มีต่อดร. เคนโซ เทนมะเป็นยังไง?
(นิ้วของเขาหยุดขยับ)
“ผมบอกเขาไปว่าผมขอโทษ ผมจะพูดอะไรอีกได้ล่ะ? ผมเดาว่านักเขียนอย่างคุณคงจะหาคำที่ดีกว่านี้ได้จริงไหม? ถ้าคุณทำได้ ช่วยบอกผมทีว่ามันคืออะไร”
———-
ผมกล่าวขอบคุณคุณลุงค์เก้ เขาตอบทุกคำถามของผมด้วยความจริงใจและเป็นกันเอง เมื่อเรากำลังจะลากัน เขาพูดกับผมขึ้นมา
“คุณคิดใช่ไหมว่ามันอาจจะมีปีศาจอีกคนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาแบบเดียวกับที่โยฮันได้รับ ในเชกโกสโลวาเกียหรือเยอรมันตะวันออก”
ผมตอบไปว่าผมคิด
“และปีศาจคนนี้ก็ควบคุมคอทมันน์ให้ไปฆ่าเหล่าพยาน…”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง
“ถ้าปีศาจแบบนั้นมีตัวตนอยู่จริง, ชีวิตของคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย” ลุงค์เก้บอกกับผม
ผมเข้าใจ แต่ผมอยากจะรู้ความจริง, ผมตอบเขา
“แต่ถ้าปีศาจคนนั้นมีอยู่จริง เขาไม่เหมือนกับโยฮัน… โยฮันนั้นพิเศษ” สารวัตรลุงค์เก้พูด
ผมถามเขาว่าพวกเขาต่างกันยังไง
ผู้เป็นอดีตนักสืบตอบกลับมา “โยฮันมีความสามารถเหนือมนุษย์ในการล้างสมองผู้คนก็จริง แต่เขาก็ละทิ้งความปรารถนาของเขาไปทีละอย่างด้วยเหมือนกัน… อาชญากรประเภทที่หาได้ยาก เป็นเหมือน… เหมือนดั่งพระพุทธเจ้าที่ถูกชักนำไปยังหนทางแห่งการทำลายล้าง”
ผมไม่พลาดที่จะเห็นสัญญาณแห่งความหวาดกลัวครั้งแรกและครั้งเดียวที่ปรากฎบนใบหน้าของเขา