เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 7 ตอนที่ 190 ระเหยกลายเป็นไอ
- Home
- All Novels
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 7 ตอนที่ 190 ระเหยกลายเป็นไอ
เล่มที่ 7 ตอนที่ 190 ระเหยกลายเป็นไอ
“อะไรนะ? จวิ้นอ๋องน้อยหายตัวไป?”
หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตื่นตกใจ มองดูสีหน้าของจวิ้นอ๋องที่ร้อนรนกระวนกระวาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับบิดาของซูเช่อ ทั้งสองหน้าตาคล้ายกันหลายส่วนนัก
“เปิ่นหวางได้ยินคนพูดว่าเช่อเอ๋อร์มักจะชอบไปไหนมาไหนกับแม่นางหลิง ดังนั้นข้าจึงมาที่โรงหมอเพื่อสอบถามดู แต่เห็นท่าทางของแม่นางแล้ว เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนใช่หรือไม่?”
จวิ้นอ๋องถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“จวิ้นอ๋องน้อยคอยช่วยเหลือข้าหลายครั้ง ข้าพึ่งพาเขาในการเติบโตในเมืองหลวง ปัญหาครานี้มู่เอ๋อร์เต็มใจช่วยท่านเจ้าค่ะ”
นางออกมาจากโต๊ะที่ปรึกษาและเดินไปยืนตรงข้ามกับจวิ้นอ๋อง “จวิ้นอ๋องได้ไปลองค้นหาตามสถานที่ในเมืองหลวงที่จวิ้นอ๋องน้อยมักจะไปแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
ซูเจิ้งซิ่วพยักหน้า “ไม่ต้องพูดถึงสถานที่ที่เคยไป แม้แต่สถานที่ที่ไม่เคยไป เปิ่นหวางก็ส่งคนไปค้นหาอย่างละเอียดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเช่อเอ๋อร์จะระเหยได้ จู่ๆ ก็หายไปไม่พบตัว เปิ่นหวางอยากจะมาลองเสี่ยงโชคดูที่นี่ แต่ดูเหมือนว่า… จะกลายเป็นการรบกวนแม่นางแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าจวิ้นอ๋องมิได้โอบกอดควาดหวังไว้มากนัก
เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ที่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างซูเช่อจะเล่นกลแบบเด็กๆ อย่างการหนีออกจากบ้าน นั่นแสดงให้เห็นว่าคลื่นลมครั้งนี้ทำร้ายความรู้สึกของเขามากเพียงใด
“หากมู่เอ๋อร์มีข่าวคราวใดๆ จะรีบแจ้งให้ทางจวิ้นอ๋องทราบโดยเร็วที่สุดเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์แย้มยิ้มบาง หลังจากเอ่ยจบ นางก็เก็บข้าวของบนโต๊ะและตั้งใจจะออกไป
จวิ้นอ๋องจู่ๆ ก็รั้งนางไว้ทันที “ข้าได้ยินมาว่าเช่อเอ๋อร์กับเจ้ามักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ?”
นางนึกว่าเขาจะมีความคิดเหมือนกับฮูหยินผู้เฒ่าซู หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “หากจวิ้นอ๋องเองก็คิดจะเตือนมู่เอ๋อร์ให้อยู่ห่างจากจวิ้นอ๋องน้อย เช่นนั้นแล้วจวิ้นอ๋องกังวลเกินไปแล้วเจ้าค่ะ จวิ้นอ๋องน้อยกับข้าก็เป็นแค่สหายธรรมดาต่อกัน และข้าเองก็มีคู่หมั้นแล้วเจ้าค่ะ”
“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว” จวิ้นอ๋องที่เมื่อครู่ยังประหม่าอยู่ ยามนี้กลับส่ายหัวเมื่อได้ยินเข้า “เปิ่นหวางไม่ได้ตั้งใจจะกีดกันความสัมพันธ์ของพวกเจ้า ตรงกันข้าม หากเจ้าเห็นเช่อเอ๋อร์เป็นสหายจากใจจริง เปิ่นหวางก็หวังว่าเจ้ากับเขาจะเข้ากันได้ดี เช่อเอ๋อร์ปกติมักจะชอบเก็บงำความคิดเอาไว้ ไม่พูดถึงสตรี แม้แต่บุรุษด้วยกัน เขาก็ไม่ค่อยยอมใคร ในเมื่อเขายอมรับเจ้าเป็นสหาย นั่นย่อมแสดงว่าเจ้าเป็นคนพิเศษสำหรับเขา”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เข้าใจความหมายของจวิ้นอ๋อง
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา มิใช่จวิ้นอ๋องควรจะต่อต้านมิตรภาพระหว่างพวกเขามากกว่าฮูหยินผู้เฒ่าซูหรอกหรือ? จวิ้นอ๋องท่านนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ นัก “ขอบพระคุณจวิ้นอ๋องที่เข้าใจ โปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามหาจวิ้นอ๋องน้อยและเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปให้ได้”
จวิ้นอ๋องพยักหน้าด้วยความโล่งอก “ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้าก่อนที่จะกลับมาถึงเมืองหลวง แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นดั่งข่าวที่ลือกัน ท่านหมอที่อ่อนโยน ใจดี และเข้าอกเข้าใจ เป็นพรของเช่อเอ๋อร์จริงๆ ที่ได้รู้จักเจ้า”
ไอ๊หยา ยากนักที่จะมีผู้ใดชื่นชมนางมากกว่าที่จะดูแคลนนาง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกขัดเขินอยู่ครู่หนึ่ง “จวิ้นอ๋องชมเกินไปแล้ว เป็นพรของประชาชนเช่นข้าที่ได้รู้จักกับจวิ้นอ๋องน้อยเจ้าค่ะ”
“เป็นพรของใครไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ เจ้าทำให้เขายอมรับในตัวของเจ้าได้ ในฐานะบิดาของเขา ข้าต้องขอบใจแม่นางน้อยแล้ว” จวิ้นอ๋องเอ่ย ในใจของเขายิ่งปลงอนิจจังเหลือแสน หลายปีที่ผ่านมานี้นอกจากยามเยาว์ที่เช่อเอ๋อร์ยังคงสนิทชิดเชื้อกับเขาแล้ว หลังจากที่เติบใหญ่ ยามที่เช่อเอ๋อรู้เรื่องที่เขาคะนึงหาผู้หญิงคนหนึ่งนามว่ามั่วเหนี่ยงทุกวัน ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็พลันทำตัวแปลกแยกจากตน ไม่ว่าเขาจะพยายามอธิบายเท่าใด แต่เช่อเอ๋อร์ก็ปฏิเสธ ไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของเขาเสมอ เมื่อวันเวลาผ่านไป พ่อลูกยิ่งกลายเป็นคนแปลกหน้า มากกว่าสหายทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ มีบางคราที่พบหน้ากันในจวน นอกจากจะทักทายแล้ว เขาก็จะหันหลังเดินจากไปทันที
หากไม่ใช่เพราะกฎของครอบครัวที่ต้องปฏิบัติในช่วงวันหยุด เช่อเอ๋อร์คงไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขาแม้หางตา ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าบุตรชายเพิ่งได้ใกล้ชิดกับสตรีคนหนึ่ง เขาจึงมีความสุขมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีคนนั้นเป็นถึงเซียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง แม้จะเป็นสตรีชาวบ้านธรรมดา เขาก็มีความสุขมากแล้ว
ใช่แล้ว เขาเองก็มองออกเช่นกัน ในเมื่อเช่อเอ๋อร์ไม่ชอบหลันเชี่ยนหยิ่ง แล้วเหตุใดเขาจึงต้องบังคับให้บุตรชายแต่งงานกับสตรีที่เขาไม่ได้ชอบ จนสายเกินไปที่จะเสียใจในภายหลังเช่นเขาด้วย?
“เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนเช้าวันนี้ แม่นางหลิงคงได้ข่าวมาแล้ว ขอกล่าวตามตรง เช่อเอ๋อร์หนีจากจวนจวิ้นอ๋องก็เพราะเหตุการณ์นี้นั่นเอง เปิ่นหวางต้องขอบใจแม่นางมากที่ช่วยเหลือ หากเจ้าพบเขาจริงๆ แม่นางได้โปรดบอกให้ฟังแทนเปิ่นหวางที ว่าเป็นพ่อที่ต้องขอโทษเขา ตราบใดที่เขาเต็มใจกลับมา เปิ่นหวางจะให้คำอธิบายที่น่าพอใจแก่เขาแน่นอน”
เรื่องอันใดกันที่ทำให้ชายชราซึ่งเป็นถึงจวิ้นอ๋องผู้สง่างามต่ำต้อยได้ถึงเพียงนี้
หรือว่าเนื้อหาในกระดาษนั่นจะเป็นความจริง?
หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงเรื่องนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ทว่าก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว
“มู่เอ๋อร์จะทำตามความคาดหวังของจวิ้นอ๋องแน่นอน หากพบเขาจริงๆ ข้าจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับบ้านทันทีเจ้าค่ะ”
ภายใต้การมองของจวิ้นอ๋อง หลิงมู่เอ๋อร์เดินออกจากโรงหมอไป ยามที่นางได้ยินว่าซูเช่อหนีออกจากบ้าน และหาเขาไม่พบเลยไม่ว่าที่ใดๆ สถานที่ที่หนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นมาในความคิดของนาง
นางไม่รู้ว่าจวิ้นอ๋องส่งคนมาติดตามนางเพื่อปกป้องนางหรือเป็นเพราะเขาไม่ไว้ใจนางกันแน่ แต่นางจำได้ว่าซูเช่อเคยบอกว่าเขาซื้อบ้านพักหลังนี้เข้าโดยบังเอิญ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทราบ
ในเมื่อซูเช่อไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าเขายังมีฐานทัพลับอยู่ นางจึงต้องหาทางกำจัดคนที่อยู่ข้างหลังถึงจะถูก หลิงมู่เอ๋อร์จงใจเดินไปรอบๆ เป็นวงกลม แสร้งทำเป็นค้นหาอย่างละเอียด ทว่านางกลับมองหาโอกาสที่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่ค้นหาในสถานที่สองสามแห่ง นางก็ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายแอบเข้าไปในตรอกที่ว่างเปล่า และหลบเข้าไปซ่อนตัวในมิติเทพ แน่นอน คนที่ได้รับคำสั่งจากจวิ้นอ๋องก็ตามเข้ามา สุดท้ายก็ยอมจำนนเพราะพวกเขาไม่พบใครเลยในตรอกนั้น หลังจากที่นางปลอดภัยดีแล้ว นางก็ออกมาจากมิติเทพ และซ่อนตัวในตรอกอื่น สลัดคนที่ตามหลังนางออกไปได้สำเร็จ
ประมาณสองเค่อต่อมา นางก็มาถึงเรือนอีกหลังของซูเช่อ โชคดีที่ทันทีที่นางเข้าไปใกล้ นางก็เห็นจื่อถงแอบเข้าไปในบ้าน หญิงสาวมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครติดตามนาง และรีบเดินไปเคาะประตูทันที
“แม่นางหลิง เหตุใดถึงเป็นท่านไปได้เล่าขอรับ?”
จื่อถงตกใจมาก แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่นายท่านสั่งเอาไว้ เขาก็รีบยิ้มขึ้นมาทันที “แม่นางพบที่นี่ได้อย่างไรขอรับ? ไม่รู้ว่าแม่นางมีธุระอันใด?”
ยามที่จื่อถงเอ่ยพูด ดวงตาของเขามองไปข้างหลังอย่างตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจ และเขาก็จงใจเพิ่มระดับเสียงอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรอปฏิกิริยาของคนข้างใน
หลังจากนั้นไม่นาน ด้านในก็ไม่ปรากฏเสียงใดๆ ออกมาอีก ดูเหมือนจื่อถงจะตัดสินใจอันใดได้แล้ว “หากแม่นางมาหานายท่าน เช่นนั้นแล้วนายท่านมิได้อยู่ที่นี่ขอรับ”
ช่างเป็นเรื่องที่ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง [1] จริงๆ หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ข้ายังไม่ทันได้อ้าปาก เจ้าก็รีบอธิบายเสียแล้ว เช่นนั้นมิใช่เป็นการบอกว่าคนอยู่ที่นี่หรือ? ยังต้องรบกวนเจ้าเข้าไปรายงานที บอกว่าข้าอยากเจอเขา”
จื่อถงรีบส่ายหัวด้วยความตะลึงงัน “แม่นาง ท่านอย่าทำให้ข้าต้องลำบากใจเลย นายท่านไม่อยู่จริงๆ ขอรับ”
“เพราะว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าลำบาก ดังนั้นถึงได้สุภาพเช่นนี้ สถานที่นี้เป็นบ้านพักลับสำหรับเขา เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังบอกข้าว่าไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่ ดังนั้นแล้วหากเขาไม่อยู่ที่นี่จริงๆ เจ้าจะมาอยู่โผล่ที่นี่ได้อย่างไร นอกจากนี้ นายท่านบ้านเจ้ายังเคยบอกข้าเอาไว้ว่าข้าสามารถมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ดังนั้น เจ้าลองบอกข้าดูสิว่าเจ้าเลือกที่จะไปรายงาน หรือจะรอให้ข้าฝืนบังคับเข้าไป”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบกุญแจบ้านออกมาเขย่า
ทันทีที่จื่อถงได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง เมื่อรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสตรีตรงหน้ากับนายท่าน หลังจากที่โยนคำพูดทิ้งเอาไว้ว่า ‘เอาเถิด แม่นางโปรดรอสักครู่’ เขาก็หันหลังกลับไปรายงานทันที
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่นางริเริ่มเดินเข้าหาซูเช่อก่อนใช่หรือไม่?
หลิงมู่เอ๋อร์คิดอยู่ในใจว่า เขาย่อมไม่ปฏิเสธที่จะพบนางแน่ แม้ว่านางจะตกลงกับจวิ้นอ๋องไว้ว่านางจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขากลับบ้าน ทว่าซูเช่อจะกลับไปจริงหรือไม่นั้น ก็ย่อมเป็นเรื่องของเขา ในฐานะสหาย การที่นางเป็นห่วงเป็นใยเมื่อสหายเจอเรื่องลำบาก ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
แต่หลังจากที่จื่อถงออกมา ท่าทีของเขากลับเด็ดขาดยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“แม่นางได้โปรดกลับไปเถิดขอรับ นายท่านบอกว่าตอนนี้เขาไม่ต้องการพบใคร” หลังจากนั้น เขาก็ทำท่าผายมือเชิญ
เห็นได้ชัดว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์นี้ “ไม่ว่าผู้ใดก็ตามหรือ?”
“ขอรับ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม แม่นาง อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยขอรับ” จื่อถงเปิดประตู และเกือบจะผลักนางออกไป
ในใจของนางรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ซูเช่อปรากฏตัวอยู่รอบๆ นางเสมอ นางคิดว่าเขามองนางเป็นเพื่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะเข้าข้างตัวเองมากเกินไปจริงๆ
ในเมื่อเขาไม่อยากเจอ นางยังจะมีเหตุผลใดให้รั้งรออยู่อีก หญิงสาวหมุนกาย ตั้งใจจะจากไป ทว่าหัวสมองกลับสาดความคิดแวบหนึ่งขึ้นมา
ผู้ชายที่เย่อหยิ่งเหมือนหงส์ ถึงกับหนีออกจากบ้าน อีกทั้งปิดกั้นตัวเองอยู่ในบ้าน ปฏิเสธไม่ยอมให้แขกเข้าเยี่ยม พฤติกรรมผิดปกติเช่นนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าในใจของเขาเจ็บปวดจนยากจะรับไหวหรือ
อิงตามเหตุผล คนที่สมบูรณ์แบบและโดดเด่นอย่างซูเช่อไม่ควรทำตัวเช่นนี้
อำนาจของเขาคือการที่หลังจากมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจะค่อยๆ ชำระล้างแค้นมิใช่หรือ
ยามที่จื่อถงกำลังจะปิดประตู มือของนางก็รั้งหยุดไว้อย่างรวดเร็ว จื่อถงตกใจ “แม่นาง ท่านทำไปเพื่ออันใดขอรับ? นายท่านบอกแล้วว่าไม่อยากพบผู้ใด นั่นย่อมหมายถึงไม่พบอย่างเด็ดขาด เหตุใดท่านถึงต้องทำให้ข้าลำบากใจด้วยขอรับ”
“หากข้าต้องการทำให้เจ้าลำบากใจจริงๆ ข้าคงวางยาเจ้าแล้วบุกเข้าไปนานแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพฤติกรรมของนายท่านของเจ้าผิดปกติมากน่ะ?”
จื่อถงถอนหายใจ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าน้อยเห็นนายท่านนิ่งเงียบอย่างนี้เช่นกันขอรับ แต่แม่นาง ยามนี้นายท่านเจ็บยากจะรับไหวจริงๆ เขาอารมณ์ไม่ดีมาก เพียงต้องการจะอยู่คนเดียว เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ท่านคงได้ยินมาแล้ว ตอนนี้ทุกคนกำลังพูดถึงฐานะของนายท่านอยู่ สำหรับนายท่านแล้วนี่เป็นการโจมตีครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังขอให้แม่นางกลับไปก่อนเถิด ถ้านายท่านต้องการพบท่าน เขาจะต้องไปหาท่านเองแน่ๆ ขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่สุนัขพันธุ์ปั๊กที่ไม่ยอมไปไหน คนเขาไม่ต้องการให้นางใส่ใจ นางจะยังเสียเวลาไปเพื่ออันใด
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ในใจของนางเจ็บปวดแทนซูเช่อ คนธรรมดาจะต้องเสียใจหากพบว่าคนเองมิใช่ลูกแท้ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังคงมีฐานะเป็นจวิ้นอ๋องน้อยด้วย
หากเนื้อหาในจดหมายเป็นความจริง เขาย่อมไม่ใช่บุตรชายขององค์หญิงใหญ่ สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้น่าอับอายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก
“ได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ”
แม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเอ่ยเช่นนั้น แต่เมื่อนางหันหลังกลับมา นางรีบหยิบบางอย่างออกมาจากบริเวณอกของตน ก่อนจะประพรมลงบนแขน จากนั้นนางก็หยิบกระบี่ออกมาอย่างเงียบๆ และแสร้งทำเป็นกรีดแขนของตัวเอง
ยามที่จื่อถงปิดประตู เขาเห็นพฤติกรรมทำร้ายตัวเองผ่านรอยแตก ชายหนุ่มตกใจเป็นอย่างยิ่งจนอุทานเสียงดังว่า “เฮ้ย! แม่นาง เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย นายท่านไม่ต้องการพบหน้าท่านเพียงชั่วคราวเท่านั้นมิใช่ทั้งชีวิตเสียหน่อย เหตุใดต้องทำร้ายตัวเองด้วยเล่าขอรับ”
แน่นอนว่าหลังจากที่จื่อถงเอ่ยจบ ลมแรงสายหนึ่งก็พัดวูบเข้ามา ร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว
หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งแสร้งทำเป็นล้มอยู่บนพื้น ถูกใครบางคนอุ้มขึ้นมาด้วยท่าอุ้มกระสอบทรายอย่างเบามือ ด้วยการขยับเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็พานางเข้าไปในเรือนแล้ว “หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
การกระทำติดต่อกันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ซูเช่อผู้กำลังกระวนกระวายใจ นางเขย่าผงชาดในมือตน “ดูเหมือนว่าจวิ้นอ๋องจะไม่ได้มีใจที่ไม่ต้องการพบข้าจริงๆ”
เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก ดวงตาสีดำของซูเช่อพลันลึกล้ำ เขาอยากจะโยนนางออกไป ทว่าก็ยังหักใจไม่ลง
ชายหนุ่มวางนางลงอย่างเบามือ ก่อนจะหันกลับอย่างแน่วแน่ “เพราะเหตุใด แม้แต่เจ้าก็ยังอยากจะมาดูเรื่องตลกของข้าหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์วางมาด ก่อนจะนั่งบนม้านั่งหินข้างๆ นางวางขวดยาและกริชลงช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากเอ่ยว่า “ก็ใช่นะสิ ถ้าเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ หากเป็นคนปกติย่อมเอาศีรษะโหม่งหินตายไปแล้ว ข้าตั้งใจจะมาดูว่าจวิ้นอ๋องน้อยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
เชิงอรรถ
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (此地无银三百两) เป็นสุภาษิตจีน เป็นการเปรียบเปรยที่หมายถึง ยิ่งอยากปกปิดซ่อนเร้นเท่าไหร่ ยิ่งกลับกลายเป็นการเปิดเผยให้โลกรู้เท่านั้น