การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ - ตอนที่ 247 เหล่าผู้เริงร่า
ตอนที่ 247 เหล่าผู้เริงร่า
ณ เมืองหลวง ของนากายามะที่เป็นศูนย์กลางของคิไค ได้มีบางสิ่งกำลังปะทะกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วทุกครั้งที่ทั้งสองได้ปะทะกัน ก็จะเกิดเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วไซโตะ ราวกับเกิดแผ่นดินไหว จนทำให้กำแพงเมืองไซโตะถึงกับสั่นสะเทือน
คิจินที่ยืนอยู่บนกำแพงปราสาทก็ทำได้เพียงชื่นชมการต่อสู้ตรงหน้าตนอย่างสนุกสนาน
「คาการิ ดูจะสนุกไม่น้อยเลยนี่」
ชายคนหนึ่งพูดก่อนจะลูบเคลาของตัวเอง
จากนั้นก็มีอีกคนตอบกลับคนข้างๆก่อนจะถอนหายใจออกมา
「ก็ดูสนุกจริงๆนั่นแหละ คงจะดีใจที่ได้เจอคนที่ตนสามารถสู้ด้วยจริงๆจังๆได้」
วันก่อนคาการิได้มาเสนอว่าให้อยากจะประลองฝีมือฝึกซ้อมกับโซระดู โดยเหตุผลก็คือการแสดงให้พวกทหารเห็นว่าพลังของโซระนั้นมีมากขนาดไหน พวกเขาจะได้รู้ซึ้งถึงพลังฝ่ายมนุษย์และเลือกเส้นทางที่ดีขึ้น
ชายคนนั้นไม่สิ ฮาคุโร่เองที่ฟังอยู่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
เขาเข้าใจดีถึงเจตนาจริงๆภายใต้คำขอของคาการิอยู่แล้ว แต่เขาก็เลือกจะไม่พูดอะไรก่อนจะประกาศแจ้งให้พวกทหารกับคนในปราสาทได้ทราบ เพราะงานพวกนี้หากฝากไว้กับน้องชายของตนคงไม่ได้เรื่องแน่
นอกจากนี้เขาก็อยากจะเห็นพลังที่แท้จริงของโซระด้วย
ฮาคุโร่หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนพูดต่อ
「แม้ว่าจะถูกการโจมตีประสานระหว่างคาการิกับโทเท็ตสึ แต่เขาก็ยังสามารถรอดมาได้ หากเป็นนักรบทั่วไปแขนขาคงได้กระจายไปคนละทิศทางแล้ว พี่รองนั่นน่ะหรือความสามารถในการฟื้นตัวของเขาตามที่รายงานมา」
「อื้ม ไม่ว่ากระดูกหรือแขนขาจะหักปลิวไปสักกี่ครั้ง เขาก็ยังสามารถรักษากลับมาเป็นเหมือนเก่าได้ ถึงแม้ตอนแรกหมอนั่นจะต้องรับมืออย่างหนักกับการโจมตีคราวแรก แต่ดูตอนนี้สิ」
โดกะชี้ไปยังทั้งสองที่ปะทะกันก่อนจะกล่าวชม
「การโจมตีแรกของคาการิแม้ว่าจะขาดๆเกินๆไปบ้าง แต่มันก็สามารถถูกชดเชยได้ด้วยการโจมตีของโทเท็ตสึ ทว่าพอต้องมาเจอกับคู่ต่อสู้ที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้และสามารถเรียนรู้อีกฝ่ายไปด้วย คาดว่าไม่นานหมอนั่นน่าจะเริ่มสวนกลับโทเท็ตสึได้บ้างแล้วแน่ๆ」
「เทคนิคลับของคิจินนั้นคาการิก็เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่าใคร จนสามารถทิ้งชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้แล้วไหนจะมีอาภรณ์วิญญาณอย่างโทเท็ตสึซึ่งแข็งแกร่งและไม่เหมือนใครเช่นนี้ ท่านพี่รองยังจะบอกอีกหรือว่าเขาจะหาทางรับมือได้」
「ข้ามองว่านั่นแหละคือจุดแข็งของโซระ ก็จริงหากเทียบแล้วโซระนั้นเหมือนจะได้รับพลังมหาศาลมาได้ไม่นานต่างจากคาการิที่ฝึกฝนมาหลายปี ทว่าการที่เขาสามารถโค่นงูลงได้และพลังคิที่ไหลเวียนในตัวเขาตอนนี้ ถึงจะเป็นข้าก็อาจจะเอาไม่อยู่แล้วก็ได้」
พอได้ยินแบบนั้นฮาคุโร่ก็ขมวดคิ้วออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
เพราะพวกเขาไม่ใช่คนเดียวที่ยืนอยู่บนกำแพงปราสาท ทหารอีกจำนวนมากก็มาทำการเฝ้าดูการต่อสู้คราวนี้ด้วย ฮาคุโร่ได้มองไปรอบๆก่อนจะบ่นกับพี่ชายตน
「พี่รองข้าว่าท่านไม่ควรพูดเช่นนี้นะ การที่นักรบซึ่งแข็งแกร่งที่สุดของเขามายอมรับความพ่ายแพ้ต่อมนุษย์ หากพวกทหารได้ยินเข้าจะเป็นเช่นไรกัน」
「แล้วมันจะทำไมเล่า การที่ยอมรับความจริงมันผิดตรงไหน ทหารนากายามะไม่ได้อ่อนแอเสียจนเสียขวัญเพราะของแบบนี้หรอกน่า」
โดกะพูดแล้วยิ้มออกมา
「แล้วก็นะฮาคุโร่ ถึงแม้ข้าจะบอกว่าไม่ไหวแต่นั่นมันก็ในเชิงของปริมาณพลังคิและอาภรณ์วิญญาณที่มี ทว่าทักษะและประสบการณ์มากมายที่ข้าได้รับมาตลอดชีวิตนั้น ไม่มีวันยอมให้พวกเด็กๆมันทิ้งไว้ข้างหลังได้หรอก」
「ได้ยินแบบนั้นข้าก็โล่งใจ」
ฮาคุโร่โค้งคำนับพี่ชายของเขา ผู้ถือครองพลังแห่งการทหารสูงสุด
โดกะก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ อายุของเขานั้นมีมากกว่าคาการิถึง 10 ปี เขาได้รับการฝึกฝนต่างๆนาๆ ผ่านสนามรบจริงก็หลายหน ทักษะการต่อสู้ที่สั่งสมมาก็มาก หากจะให้เทียบสมดุลความสามารถแล้วยังไงโดกะก็พร้อมกว่า 4 พี่น้อง
กล่าวให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ การโจมตีของคาการินั้นจะทะลวงมาถึงโดกะได้ก็ประมาณ 2 ใน 10 ครั้ง ส่วนการโจมตีของโดกะนั้นมากกว่าครึ่งจะถึงตัวคาการิเสมอ หากเทียบความแข็งแกร่งด้านการโจมตี คาการิอาจจะเหนือกว่า แต่เรื่องของทักษะและประสบการณ์นั้นยังต้องเรียนรู้อีกมาก
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคาการิก็เติบโตขึ้นมามากและใช้อาภรณ์วิญญาณได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามโดกะก็ยังไม่มีแผนที่จะมอบตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดให้กับน้องชายของตนอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นคาการิรับมือกับโซระ
เมื่อคาการิทำการโจมตีโซระ เขาก็จะใช้พลังรักษาตัวเองในทันที นั่นก็หมายความว่าโซระไม่สามารถป้องกันการโจมตีของคาการิได้เลย นอกจากนี้การโจมตีของโซระก็ยังไม่ถึงตัวคาการิได้ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้คาการิเหนือกว่าเขาทุกด้าน แน่นอนว่าโดกะก็ด้วย
โดกะกอดอกแล้วมองไปยังโซระที่สู้กับคาการิอยู่
「บางทีโซระคงจะผ่านมาหลายสนามรบเหมือนกัน แต่เขาก็มักจะเจอกับศัตรูที่ใช้พลังอันมหาศาลของตนปิดได้ในคราวเดียวจึงไม่สามารถสะสมประสบการณ์ที่ดีได้ แถมพอเขาได้รับบาดเจ็บก็มักจะพึ่งพาพลังในการรักษาของตน จึงไม่จำเป็นต้องปรับหรือควบคุมพลังเพื่อใช้ในการเคลื่อนไหวมากนัก」
「ดูจะเป็นแนวการต่อสู้ที่มุทะลุจริงๆ」
「ก็อย่างที่เจ้าว่า หากหมอนั่นได้มีอาจารย์หรือเพื่อนที่ดีสักคนซึ่งทัดเทียมกับเขาแล้วละก็เรื่องราวคงจะต่างออกไป ช่างน่าเสียดาย」
โดกะมองดูราวกับคิดอะไรบางอย่าง ฮาคุโร่ที่ได้ยินก็หรี่ตาถาม
「…พี่รอง ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองไหม แต่ไม่ใช่ว่าท่านตั้งใจจะสั่งสอนวิชาให้โซระหรอกนะ? ท่านก็รู้นี่ว่าเขาเป็นมนุษย์และพวกพ้องกับคนเฝ้าประตู แม้ยามนี้เขาจะยังเป็นมิตรกับเล่าแต่รุ่งสางใครจะรู้เล่า」
「เรื่องนั้นข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ว่า…」
「แต่ว่า?」
ดวงตาของฮาคุโร่หรี่มากขึ้นและเสียงก็ดูจริงจังขึ้น
โดกะกระแอมหนึ่งครั้งแล้วพูดต่อ
「สำหรับข้ากับคาการิแล้ว การจะหาพวกที่ทนไม้ทนมือในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมันยากนี่นา」
「ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะท่านพี่」
「หากมีคนแบบนั้นอยู่ใกล้มือข้า มันก็นับว่าเป็นโอกาสที่ดีในการเป็นคู่ฝึกไม่ใช่หรือไง ข้าไม่คิดจะเป็นอาจารย์อะไรนั่นหรอกน่า ถึงแม้จะสั้นแต่อย่างน้อยก็มีเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนก่อนการรวมพลจะเสร็จสิ้น ระหว่างนั้นก็ปล่อยๆไปเถอะ」
โดกะพูดอย่างสงบนิ่ง แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เหมือนข้อแก้ตัว
ฮาคุโร่ก็เลยทำได้เพียงถอนหายใจ
「ไม่คิดเลยว่าพี่รองผู้ดูแลกองทัพที่ยิ่งใหญ่จะเป็นไปกับเขาด้วย…เอาเถอะข้าก็พอจะเข้าใจที่ท่านต้องการจะบอกแล้ว」
「อื้อ เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว」
「ทว่าเทคนิคลับของเหล่าคิจินนั้น ได้โปรดอย่าสอนให้กับเขา」
พอได้ยินแบบนั้นโดกะก็พยักหน้ารับ
แม้ว่าโดกะจะต้องการหาคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามแต่เขาก็ไม่คิดจะถ่ายทอดเทคนิคของคิจินให้มนุษย์อยู่แล้ว คาการิเองก็คงจะเหมือนกัน
ทว่าโดกะก็เริ่มพูดต่อขณะดูการต่อสู้ของทั้งสอง
「แต่ว่านะ ฮาคุโร่ บางทีมันอาจจะสายเกินไปแล้วก็ได้」
「สายเกินไป?」
「เมื่อถึงจุดที่โซระสามารถรับมือกับคาการิได้ บางทีเขาอาจจะเข้าใจในเทคนิคของพวกเราด้วยตัวเองเลยก็ได้ มันก็เหมือนกับการฝึกเหวี่ยงดาบหากได้ทำมันซ้ำๆเทคนิคและความเข้าใจก็จะมากขึ้น ยิ่งได้รับประสบการณ์ในการรับมือกับพวกเรามากเท่าใด เขาก็จะเริ่มเข้าใจถึงศาสตร์ของพวกเรามากขึ้นเท่านั้น」
「ไม่นานเขาอาจจะนำมาเป็นพลังของตัวเองก็ได้ นั่นคือสิ่งที่ท่านจะพูดสินะ」
โดกะก็ตอบกลับด้วยท่าทางแทน
การควบคุมแรงด้วยจังหวะเท้าที่แม่นยำ ซึ่งสามารถส่งแรงปะทะได้ดียิ่งขึ้น หมายความว่าตอนนี้โซระเริ่มเข้าถึงระดับของโดกะและคาการิในเชิงการใช้กำลังเพียวๆได้แล้ว
จากนั้นโดกะก็พูดขึ้น
「ข้าเรียนรู้มันมาจากท่านอาจารย์ผู้ล่วงลับ ส่วนคาการิได้เรียนรู้มาจากข้า อย่างไรก็ตามโซระนั้นไม่ได้เรียนรู้ของพวกนี้มาจากไห แต่เขาได้ใช้ร่างกายของตนเข้าแลกเพื่อเรียนรู้กับการโจมตีนับไม่ถ้วนก่อนจะเริ่มหาทางออกและเปลี่ยนมันให้เป็นของตนเอง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ข้ากับคาการิเองก็ทำไม่ได้」
「ย่อมเป็นเช่นนั้น หากถูกการโจมตีที่รุนแรงมากสักครั้ง ร่างกายก็คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย กระดูกอาจจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ หรือเลวร้ายสุดก็ตาย ทว่าหากมีพลังในการรักษาระดับนั้น การจะเอาตัวเข้าแลกเพื่อรู้วิชาก็ย่อมทำได้」
「อย่างที่เจ้าพูด นอกจากนี้หากตัดเรื่องพลังในการรักษาออกไปแล้ว โซระก็ยังมีพลังใจที่เข้มแข็งอีกด้วย เท่าที่ข้าเห็นพลังในการรักษานั้นไม่ได้ช่วยลบความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับมาแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะมีพลังรักษาดีขนาดไหนแต่ถ้าพลังใจไม่ไหวยังไงก็คงรับมือกับความเจ็บปวดที่ฉีกทั้งร่างออกไม่ไหวหรอก」
โซระมีทั้งพลัง และความสามารถที่จะเรียนรู้เทคนิคต่างๆได้อย่างอิสระ
พอโดกะคิดก็ถึงกับตัวสั่น เพราะแค่ตอนนี้โซระก็นับว่าแข็งแกร่งพอสมควรแล้ว หากได้เรียนรู้อย่างถูกต้องเขาจะไปได้ไกลขนาดไหนกันนะ
ตรงกันข้ามกับโดกะที่เหมือนจะชื่นอกชื่นใจเมื่อเห็นศัตรูสุดแกร่งปรากฏตัว ฮาคุโร่ได้ถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน
「ทางที่ดีมันควรจะขจัดภัยไปให้พ้นตัวแท้ๆ ทำไมเหล่าพี่น้องของข้าถึงได้ชอบเลี้ยงภัยพิบัติเอาไว้ใกล้ตัวกันจริงเลยนะ」
「เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ?」
「จากที่ข้าได้ยินท่านพูดมาจนถึงตอนนี้ ก็หมายความว่าการต่อสู้ของท่านพี่กับเขามันก็ไม่ต่างอะไรกับท่านตั้งใจจะชุบเลี้ยงศัตรูคนนี้เลยนะ 」
พอถูกพูดแบบนั้นโดกะก็ทำหน้านิ่งไป
ก่อนจะหันไปทางอื่นแล้วพูดต่อ
「ก็ไม่ผิดหรอกที่เจ้าจะเห็นแบบนั้น」
「ถ้าเขากลายเป็นศัตรูกับนากายามะในอนาคตเราจะรับมือไหวจริงเหรอ?」
พอถูกถามแบบนั้นโดกะก็ตอบอย่างไม่ลังเล
ภายในแววตาของเขานั้นไม่ได้มีความกังวลอยู่เลย
「แน่นอนอยู่แล้ว แม้ธรรมชาติของนักรบจะแสวงหาคนแข็งแกร่งแต่ข้าก็ไม่ยอมให้มันมาครอบงำเรื่องส่วนรวมได้หรอก」
「หากท่านพี่มั่นใจข้าก็ไม่มีอะไรจะคัดค้านอีก」
หลังพูดจบฮาคุโร่ก็ถอดชุดคลุมออกเผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันได้รูป แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่แค่พวกอ่อนแอที่อยู่ติดโต๊ะ
พอเห็นท่าทางของฮาคุโร่แล้ว โดกะก็แสดงความสงสัยออกมา
แน่นอนว่าโดกะไม่ได้มองฮาคุโร่เป็นพวกอ่อนแอ ถึงแม้เขาจะเห็นร่างกายที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีของอีกฝ่ายก็ไม่ได้แปลกใจ แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมต้องถอดชุดคลุมออก
「ฮาคุโร่ จู่ๆเจ้าจะทำอะไรน่ะ?」
「คราวก่อนพี่รองก็ได้สู้ไปแล้วนี่」
จากนั้นฮาคุโร่ก็ชี้ไปยังโซระกับคาการิที่สู้กันอยู่
โดกะก็พยักหน้า
「ก็ใช่อยู่」
「แล้วตอนนี้ก็เป็นคราวของคาการิ」
「อื้อ」
「ดังนั้นตามตรรกะแล้ว คนต่อไปก็ควรจะเป็นข้านี่นะ」
「หือ?」
โดกะเอียงคอสงสัยกับคำพูดของฮาคุโร่ แต่ฮาคุโร่ก็ไม่ได้สนใจและกระโดดลงมาจากกำแพงปราสาท
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ระหว่างสองคนข้างล่างจะไปจุดไฟของฮาคุโร่เข้าเสียแล้ว พอตระหนักได้แบบนี้โดกะก็เลยกระโดดตามลงไปพร้อมกับรอยยิ้ม
แล้วหลังจากนั้น
「พี่โดกะ มาขัดอะไรกันตอนนี้เนี่ย? ข้ากำลังได้ที่――ง่ะ..พี่ฮาคุโร่ก็ด้วยเหรอ?!」
「เดี๋ยวเถอะคาการิ มาพูด ง่ะ กับพี่ชายตัวเองแบบนี้ได้ยังไงกัน ไม่สิถึงจะเป็นคนอื่นก็ไม่ควรนะเข้าใจไหม」
「ิอ-อื้อ ข้าขอโทษ ว่าแต่ทำไมพี่ฮาคุโร่ถึงได้ถอดเสื้อออกกันล่ะ?!」
「ก็ข้าเห็นพวกเจ้าเริงร่ากันขนาดนี้ก็เลยอยากจะมาร่วมวงด้วยน่ะ นอกจากนี้หากร่างกายไม่ได้ขยับเสียบ้าง ฝีมือมันจะขึ้นสนิมจนแพ้พวกคนเฝ้าประตูเอาได้」
「ข-ข้าเข้าใจแล้ว! แต่คราวหน้าข้าไม่ยอมหรอกนะ! โซระ พี่ฮาคุโร่เป็นพวกนิสัยไม่ค่อยดีนะ ระวังตัวด้วย――」
「อย่าได้น้อยใจไปเลย เอาแบบนี้เป็นยังไงล่ะ พวกเจ้าทั้งสองคนมารับมือกับข้าและพี่รอง ให้เป็นการต่อสู้สองต่อสองแทน พี่รองเองก็ไม่ขัดสินะ」
「ย่อมได้」
「เอาจริงเหรอพี่โดกะ?!」
หลังจากได้พูดคุยกันเสร็จ เสียงปะทะและความรุนแรงก็ทวีคูณหนักขึ้นกว่าเดิม จนทำให้คนภายในเมืองไซโตะเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือน
ทางอาซึมะที่นั่งอยู่ภายในวัง ก็พยายามะชกถ้วนชาขึ้นมาจิบ แต่ก็เพราะเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นหนักมาก มันทำให้เขาเริ่มกังวลว่าจะทำชาหกเอาได้
เสียงที่ดังกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
「ทุกคนกำลังสนุกกันจริงๆเลยน้า」
อาซึมะบ่นออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะดื่มชาที่เหลือจนหมดแล้วถอนหายใจ