แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด - ตอนที่ 90
อีกทางด้านฝั่งหนึ่ง ทั้งฮิคาริและเซ็ทสึนะต่างนิ่งเงียบอยู่ในท่าทีสำรวมกาย ปราศจากอาการดีใจแม้ว่าจะเป็นการพบพานกันระหว่างเครือญาติก็ตาม เลยทำให้เวสน่าและผองเพื่อนรู้สึกกระอักกระอ่วนพอสมควร และไม่กล้าที่จะแทรกบทสนทนาระหว่างสองลูกพี่ลูกน้องสกุลฮาชิสึเมะอีกด้วย
วีรสตรีจอมดาบเวทถอดแหวนแปลภาษาที่สวมใส่อยู่ออก แล้วเริ่มพูดคุยกับเด็กสาวนัยน์ตาสีชาดเป็นภาษาญี่ปุ่น
“ทำไมถึงมาที่นี่ ท่านพ่อออกคำสั่งอะไรไว้ให้กับเธอรึเปล่า?”
เซ็ทสึนะเห็นดังนั้นจึงปฏิบัติตามแบบเดียวกับฮิคาริ เพื่อไม่ให้คนรอบข้างรับรู้ถึงบทสนทนาลับในครั้งนี้
“ก็แค่ตามมาดูแลท่านพี่ เหมือนอย่างที่เคยทำมานั่นแหละค่ะ”
“ในฐานะคนของตระกูลสาขาน่ะเหรอ? เลิกคิดว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้ของตระกูลหลักสักทีเถอะ ไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะมาหาฉันเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้… สมาคมเวทมนตร์ฝั่งตะวันออกคงต้องแอบวางแผนอะไรอยู่แน่ ๆ ถึงได้ส่งเธอมา”
“ถ้าหนูบอกว่า ‘ก็แค่เดินทางมาหาท่านพี่ในฐานะน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง’ ล่ะคะ จะว่ายังไง?”
องเมียวจิสาวคิ้วสั้นหนายิ้มมุมปากพลางหันหน้ามาทางนี้ ฮิคาริรีบสวมแหวนแปลภาษากลับคืนดังเดิม เพราะต่อให้พยายามซักไซ้ไต่ถามความจริงสักเพียงใด เซ็ทสึนะก็คงไม่ยอมปริปากเล่าความจริงออกมาอยู่ดี ก่อนจะยกมือกอดอกเชิดหน้าหันไปทางอื่นพร้อมกล่าวประชดประชัน ทั้งที่สองแก้มแดงระเรื่ออย่างเหนียมอาย
“เชอะ ถึงจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ก็อย่าหวังว่าฉันจะพุ่งเข้ากอดเธอด้วยความคิดถึงเชียวล่ะ ฝันไปเถอะ”
สิ้นประโยคสุดท้าย ทั้งเซ็ทสึนะและเหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรต่างก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ
“เดี๋ยวเถอะ ๆ เลิกคุยกันได้แล้ว มาเริ่มบทเรียนในคาบชมรมกันดีกว่า” ยาโรสลาฟทักท้วงพลางส่งเสียงปรบมือสองถึงสามครั้งเพื่อดึงความสนใจจากนักเรียน “เนื่องจากมีสมาชิกใหม่เข้ามาพร้อมกันถึงสองคน ดังนั้นจึงของดแจกแจงภารกิจปราบปีศาจและกิจกรรมนอกห้องเรียนสำหรับวันนี้ เพื่อให้เซ็ทสึนะและเอ็ดเวิร์ดได้ทำความคุ้นเคยกับพวกเธอทุกคนอย่างเต็มที่”
“โห่~/โธ่เอ๊ย~/อะไรกันเนี่ย~!”
บรรดาพ่อมดแม่มดวัยใสต่างพากันโห่ร้องอย่างไม่พึงพอใจ แม้แต่อาเธอเรีย ออเดรย์ วัตสัน และอิทสึกิเองก็ยังไม่เว้น ในขณะที่เลวอน คลาร่า เวสน่า โมนิก้า เอ็ดเวิร์ด และเซ็ทสึนะหัวเราะเฝื่อน ยกเว้นสเตฟาเนีย และฮิคาริเท่านั้นที่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา
บุรุษจอมเวทพาลาดินเห็นดังนั้นจึงทนดูไม่ได้ รีบง้างมือขวาทุบลงบนโต๊ะทำงานเสียงดังปัง นักเรียนทุกคนล้วนสะดุ้งเฮือกตกใจกลัว จนทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบสงบโดยพลัน รอยยิ้มและสายตาที่ยาโรสลาฟมอบให้เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดวัยใสนั้น เล่นทำเอาพวกเด็ก ๆ ถึงขั้นขนลุกซู่เหงื่อตกเผยสีหน้าซีดเผือดอย่างหวาดผวาเลยทีเดียว
“เอาล่ะ พร้อมที่จะฟังการเรียนการสอนจากฉันแล้วหรือยัง~?”
พ่อมดผู้อาวุโสจอมทะเล้นซักถาม และคำตอบที่ได้รับกลับมาจากเหล่านักเรียนก็คือ การผงกศีรษะรัว ๆ อย่างว่าง่าย
เมื่อทุกอย่างแลดูเรียบร้อยดี ยาโรสลาฟจึงเริ่มจัดแจงนำหีบไม้สักโบราณฉลุลวดลายสวยงามขึ้นมาวางบนโต๊ะทำงาน นำกุญแจสะเดาะกลอนเปิดฝาออก แล้วหยิบเสื้อคลุมสีกรมท่าตัดแถบทองออกมาแสดงให้ทุกคนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ก่อนจะสาธยายรายละเอียดไปดังนี้
“ที่พวกเธอเห็นอยู่นี้คือผ้าคลุมจอมเวทพาลาดิน เป็นหนึ่งในอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถสวมใส่ได้หากไม่ได้รับอนุญาต หรือแม้แต่พ่อมดแม่มดระดับล่างก็ตาม ผู้ที่ครอบครองมันได้จะต้องเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดินเท่านั้น และต้องสอบผ่านเงื่อนไขดังต่อไปนี้
หนึ่ง สามารถทำความเข้าใจและใช้เวทมนตร์ได้หลากหลายประเภท ทุกระดับชั้น ทุกระดับวิชา และทุกสรรพธาตุ
สอง เป็นผู้มีพลังเวทมหาศาล ในทางกลับกันจะต้องมีความสามารถในการดูดซับพลังตามธรรมชาติได้ด้วย
สาม สามารถร่ายคาถาได้โดยไม่ต้องเปล่งเสียงออกมา และไม่พึ่งพาอุปกรณ์สื่อนำต่าง ๆ เช่นไม้กายสิทธิ์ แหวนวิเศษ ถ้าพูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ เป็นการตั้งสมาธิท่องมนตราในใจ และใช้เพียงแค่ปลายนิ้วคอยควบคุมพลังเท่านั้น
สี่ มีทักษะในการใช้วิชาลำนำสัประยุทธ์ หรือนำเอาพลังเวทและพลังจิตมาผนวกรวมกับความสามารถทางกายภาพเพื่อให้เกิดพลานุภาพสูงสุด
ห้า สามารถสื่อสารหรืออัญเชิญจิตวิญญาณของผู้ล่วงลับได้
หก เป็นผู้ที่แตกฉานในด้านอักษรศาสตร์ดังนี้ คือ ตัวอักษรฮิบรู อาหรับ กรีก ละติน และรูน
เจ็ด บุคคลผู้นั้นจะต้องผ่านกับประสบการณ์แห่งความตายมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
แปด จะต้องสำเร็จการศึกษาในระดับชั้นมหาวิทยาลัยของสถาบันจอมเวทอย่างเป็นทางการ
เก้า จะต้องใช้คาถา Septema auroratium (เจ็ดแสงอรุโณทัย) หนึ่งในมนตราโบราณขั้นสูงสุดได้ด้วยตนเอง ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นต้องผ่านเงื่อนไขที่กล่าวมาข้างต้นให้ครบถ้วนเสียก่อน
และสิบ ได้รับการยอมรับจากเหล่าจอมเวทระดับชั้นพาลาดิน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนอย่างที่ใครหลาย ๆ คนคาดคิด การจะทำแบบนั้นได้ก็ต้องมีการพิสูจน์ หรือสร้างวีรกรรมให้เป็นที่ประจักษ์ในหมู่สังคมจอมเวทเสียก่อน”
สิ้นเสียงคำบรรยายจากบุรุษอาวุโสผู้ทรงเกียรติ บรรดาพ่อมดแม่มดวัยใสต่างก็แสดงสีหน้าท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยต่อเนื้อหาการเรียนการสอนในวันนี้ คลาร่าจึงขันอาสาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเพื่อนร่วมชั้น ชูมือขวาขึ้นเหนือศีรษะ แล้วเกริ่นซักถามต่อครูผู้สอนด้วยความใคร่รู้ทันที
“ศาสตราจารย์อยากจะให้พวกเราทุกคนลองสวมใส่มันดูสักครั้งงั้นสินะคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ” ยาโรสลาฟพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มมุมปาก “เพราะการที่พวกเธอทุกคนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของชมรมปราบมาร นั่นหมายถึงย่อมได้รับสิทธิ์เบื้องต้นในการเป็นจอมเวทพาลาดินไปแล้วหนึ่งก้าว หน้าที่ของพวกฉันในฐานะดังกล่าวนอกจากจะต้องเป็นผู้นำเพื่อคอยดูแลความสงบสุขภายในหมู่บ้านเวทมนตร์แล้ว ยังต้องคอยรักษาสมดุลระหว่างโลกของพ่อมด โลกของผู้คนธรรมดา และโลกของเผ่าปีศาจ เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องล่มสลายลงไป
จะเห็นได้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้ รวมถึงหมู่บ้านจอมเวทอื่น ๆ นั้นมีผู้คนหลายเชื้อชาติและหลากเผ่า ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา พ่อมดแม่มด หรือแม้แต่ลูกครึ่งอสูรปีศาจ ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ทั้งนี้ก็เพราะมีผู้นำคอยปกครองดูแล ดังนั้นภารกิจที่ฉันคอยมอบหมายให้พวกเธอไปจัดการในแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพื่อกวาดล้างเผ่าภูตผีปีศาจให้หมดสิ้นไปจากโลก แต่เพื่อไม่ให้ชนเผ่าของพวกเขาเองซึ่งปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองดี ต้องพลอยเดือดร้อนและได้รับความเสื่อมเสียไปด้วย
ผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินจึงเปรียบเสมือนอาภรณ์แห่งเกียรติยศ และเป็นเครื่องหมายการันตีอย่างหนึ่งว่าผู้สวมใส่นั้นจะไม่มีวันใช้อำนาจอยุติธรรมในการปกครองผู้คนทั้งมวลบนโลกใบนี้ และเพื่อให้พวกเธอได้สัมผัสกับประสบการณ์การสวมใส่เจ้าผ้าคลุมนี่ ฉันจะให้ทุกคนลองสวมมันดูสักครั้ง เผื่อว่าในอนาคตพวกเธออยากจะเดินตามรอยเส้นทางนี้เหมือนกันกับฉัน”
“อ-เอ๊ะ ให้พวกเราที่เป็นแค่นักเรียนจอมเวทฝึกหัดสวมใส่แบบนี้ จะไม่เป็นไรจริง ๆ เหรอคะ?”
เวสน่ารีบยกมือซักถามท่ามกลางเสียงฮือฮาของเหล่าเพื่อนร่วมชั้น บุรุษเจ้าของเรือนผมสีดำหยักศกผงกศีรษะตอบ
“แน่นอนสิ อีกอย่างผ้าคลุมผืนนี้มีไว้เพื่อการศึกษาในโรงเรียน ไม่สามารถเอาไปใช้งานได้จริง และมีไว้เพื่อบ่งบอกถึงคุณสมบัติของผู้สวมใส่เท่านั้น ว่าในอนาคตภายภาคหน้าพวกเธอมีสิทธิ์ที่จะได้เป็นจอมเวทพาลาดินหรือไม่ แน่นอนว่าของจริงเองก็มีลักษณะแบบเดียวกับที่เห็นอยู่นี้นั่นแหละ ส่วนผ้าคลุมที่ฉันสวมอยู่เป็นลวดลายแบบเก่าตั้งแต่สมัยสามศตวรรษที่แล้ว
ดังนั้นคาบเรียนชมรมในวันนี้ ฉันขอท้าให้พวกเธอมาพิสูจน์ถึงความสามารถของตนเอง ว่ามีคุณสมบัติเพียงพอมากน้อยแค่ไหน ใครที่สวมผ้าคลุมนี่แล้วยังทนยืนอยู่ได้นานถึงหนึ่งนาทีโดยที่ไม่ล้มลงหรือสลบลงไปเสียก่อน ฉันยินดีมอบตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานให้คน ๆ นั้นสืบต่อดูแลทันทีหลังจากที่ฉันตายไป… ถ้าพร้อมแล้วก็รีบต่อแถวเข้ามาเลย!”
“โอ้ว~!/พูดจริงเหรอเนี่ย~!/บ้าเอ๊ยอย่าเบียดฉันสิฟะ!/ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของฉันเท่านั้น~!”
สิ้นประโยคท้าทายจากยาโรสลาฟ เหล่านักเรียนพ่อมดแม่มดวัยเยาว์จึงพลันลุกขึ้นจากเก้าอี้ ส่งเสียงเอิกเกริกรีบวิ่งกรูเข้าไปหาครูผู้สอนแทบจะทันที บางคนพากันลัดคิวต่อแถวแบบสะเปะสะปะ จนสุดท้ายก็กลายเป็นว่าต้องยืนล้อมวงโดยมีจ้าวแห่งอาคมผู้อาวุโสเป็นจุดศูนย์กลาง บรรยากาศในห้องเรียนแห่งนี้ดูครึกครื้น ตื่นเต้น และมีชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ยกเว้นบรรดาสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรอย่างเลวอน วัตสัน อิทสึกิ สเตฟาเนีย ฮิคาริ ออเดรย์ เวสน่า คลาร่า โมนิก้า อาเธอเรีย รวมถึงนักเรียนหน้าใหม่อย่างเอ็ดเวิร์ดกับเซ็ทสึนะเท่านั้นที่ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ แม้แต่อัลเบิร์ต เบอร์นาร์ด และสลาโวมีร์เองก็ด้วย พวกเขารู้อยู่แล้วว่าคงต้องเกิดเหตุการณ์พรรค์นี้ขึ้นมาแน่ ๆ จึงตัดสินใจนั่งดูลาดเลาไปสักระยะหนึ่ง
“ลูกพี่ไม่ไปลองสวมมันดูบ้างหน่อยเหรอครับ?”
“นั่นสิ ปกติแล้วลูกพี่ต้องรีบพุ่งตัวออกไปเป็นคนแรกเสมอ แล้วทำไมถึงได้…?”
เจ้าเตี้ยกับเจ้าอ้วนซักถามอย่างฉงน ทว่าไอ้แสบกลับนั่งกอดอกสบายใจเฉิบ เกริ่นน้ำเสียงหยิ่งยโสพลางทอดสายตามองไปยังเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังยืนรุมล้อมยาโรสลาฟอยู่อย่างดูแคลน
“รอให้เจ้าพวกนี้หมดแรงไปเสียก่อน แล้วค่อยไปแสดงฝีมือปิดท้ายทีหลัง ทำแบบนั้นฉันว่ามันน่าสะใจมากกว่านะ”
และก็เป็นไปตามที่เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินคาดการณ์เอาไว้ เหล่าจอมเวทฝึกหัดจำนวนกว่าสี่สิบชีวิต ส่วนใหญ่ต่างประสบความล้มเหลว บางคนลองสวมใส่อาภรณ์สีกรมท่าเพียงแค่ไม่กี่วินาที ร่างกายก็พลันหนักอึ้ง ถูกฉุดดึงให้นอนราบลงกับพื้นเสมือนดั่งถูกหินก้อนใหญ่กดทับเสียเดี๋ยวนั้น บ้างก็ทนยืนได้เป็นเวลาหลายสิบวินาทีจนกระทั่งเป็นลมหมดสติ
อย่างไรก็ดี มีน้อยคนนักที่สามารถทนแรงกดดันจากผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินได้ยาวนานถึงสามสิบวินาที ถือเป็นสถิติใหม่ล่าสุดสำหรับปีการศึกษานี้ แต่ก็ต้องจบลงด้วยการหมดสติหรืออ่อนแรงจนถึงขนาดลุกขึ้นยืนไม่ได้เป็นเวลาชั่วคราว เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครเอาชนะถ้อยคำท้าทายจากยาโรสลาฟได้เลยสักคน
ผู้ท้าชิงวัยเยาว์ทั้งชายและหญิงต่างหมดสภาพ ศาสตราจารย์อดนึกสงสารไม่ได้จึงเสกคาถาฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ แล้วให้ทุกคนที่ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมนี้กลับไปนั่งประจำที่ตามปกติ แน่นอนว่าพวกเขายังคงอิดโรยแม้นว่าจะได้รับการรักษาไปแล้วก็ตาม
เวลาผ่านล่วงเลยไปเกือบห้าสิบนาที เมื่อยาโรสลาฟเห็นว่าเริ่มไม่เหลือผู้กล้าคนใดเข้ามาประจันหน้ากับอาภรณ์วิเศษผืนนี้อีกแล้ว จึงกวาดสายตาไปยังสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร และพวกอัลเบิร์ตซึ่งยังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ด้วยความหวั่นสะพรึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะพูดจายั่วยุรบเร้าให้อีกฝ่ายตัดสินใจฮึดสู้ ท่ามกลางความเงียบสงัด
“คราวนี้เหลือแค่พวกเธอแล้ว ไม่คิดจะลองสวมใส่ดูหน่อยเหรอ?”
“ผมยังไม่อยากทำเรื่องขายหน้า ด้วยการนอนหมอบเหมือนกับเจ้าพวกนั้นหรอกนะครับ” วัตสันยอกย้อน
“แหม ๆ นี่ฉันอุตส่าห์เอาหมู่บ้านนี้เป็นเดิมพันเชียวนะ”
“ถ้าพวกนายไม่กล้า งั้นฉันขอรับตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านต่อจากศาสตราจารย์เลยก็แล้วกัน”
อัลเบิร์ตกล่าวพลางก้าวเท้าเดินผ่านเลวอนและผองเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยสีหน้าท่าทีมั่นใจเต็มเปี่ยม ราวกับว่าชัยชนะในครั้งนี้ตกเป็นของตนโดยสมบูรณ์ พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาถึงกับเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ไม่ทันที่ไอ้แสบจะมุ่งตรงไปถึงตัวยาโรสลาฟ อาเธอเรียก็ได้เอ่ยถ้อยคำเหน็บแนมใส่เขาพร้อมทั้งรอยยิ้มยียวนกวนประสาท
“สู้เขานะ ไอ้แสบฉี่รดที่นอน~”
“เฮ้ย!?”
บุรุษวัยเยาว์เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์เงินชะงักฝีเท้า รีบหันขวับมองคู่สนทนาด้วยความโมโหปนอับอาย ฮิคาริ อิทสึกิ ออเดรย์ วัตสัน ถึงกับหัวเราะสะใจ เซ็ทสึนะ เอ็ดเวิร์ด เลวอน โมนิก้า สเตฟาเนีย พยายามกลั้นขำสำรวมท่าทีเอาไว้ ส่วนเวสน่าและคลาร่าแย้มสรวลเล็กน้อยด้วยความสงสาร
ในขณะที่เหล่านักเรียนคนอื่นอยากจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะส่งเสียงขบขันออกมา
หลังจากที่อัลเบิร์ตเดินมาถึงหน้าโต๊ะทำงานแล้วจึงหันแผ่นหลังให้ ยาโรสลาฟซึ่งยังคงถืออาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือได้ซักถามต่อเด็กหนุ่มเพื่อยืนยันความแน่ใจ
“พร้อมแล้วหรือยัง?”
“เข้ามาเลยครับศาสตราจารย์ ผมพร้อมเสมอ”
สิ้นเสียงคำตอบที่ได้รับ พ่อมดพาลาดินผู้ยิ่งใหญ่ก็พลันลงมือสวมผ้าคลุมจอมเวทให้แก่อัลเบิร์ต ท่ามกลางสายตาของบรรดาเพื่อนร่วมชั้นซึ่งจับจ้องมองดูผู้ท้าชิงอย่างตื่นเต้นปนลุ้นระทึก เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบวินาที ไอ้แสบจึงเริ่มแสยะยิ้มกางแขนออกทั้งสองข้างราวกับมหาราชา กิริยาท่าทีแลดูเป็นปกติสุขสำราญดี ปราศจากความทรมานหรืออาการแทรกซ้อนใด ๆ ทั้งสิ้น
“ไงล่ะพวกแก ดูถูกกันดีนัก ถ้าฉันขึ้นเป็นผู้นำหมู่บ้านนี้เมื่อไหร่พวกแกทุกคนโดนดีแน่!”
“บ-บ้าน่า ทำไมหมอนั่นไม่เป็นอะไรเลย!?” ออเดรย์อุทานลั่น
“ค-คุณอัลเบิร์ตแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย!” โมนิก้าเอ่ยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เล่นประกาศชัยชนะปิดท้ายกันแบบนี้ ท่านคงวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วงั้นสินะขอรับ!” อิทสึกิโวยวาย
“ให้ตายฉันก็ไม่ยอมรับแกเป็นผู้นำหมู่บ้านของพวกเราเด็ดขาด!”
อิทสึกิทักท้วง ทำให้เหล่าพ่อมดแม่มดฝึกหัดต่างพร้อมใจกันส่งเสียงต่อต้านอัลเบิร์ต ยาโรสลาฟซึ่งยืนมองดูเหตุการณ์อย่างเงียบเชียบได้แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางสะกดกลั้นอารมณ์ขบขันเอาไว้ ท่ามกลางความวุ่นวายอลหม่าน
ไอ้แสบหัวเราะเยาะใส่เพื่อนร่วมชั้นชนิดที่ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น พร้อมทั้งประกาศศักดาอย่างหยิ่งผยอง
“จากนี้ไปพวกแกทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งฉัน ไม่อนุญาตให้ขัดขืนเด็ดขาด-!”
——ตึ้ง!
ไม่ทันจะพูดจบประโยค อัลเบิร์ตก็ได้ทรุดเข่าล้มลงไปนอนกับพื้นอย่างจัง สลบไสลไม่เป็นท่าในสภาพน้ำลายฟูมปาก ทั้งที่เวลาเพิ่งผ่านพ้นไปเพียงยี่สิบวินาทีเท่านั้นเอง นักเรียนทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มผมสีบลอนด์เงินจะพยายามอดกลั้นความทรมานที่ได้รับมามากพอสมควร ถึงขนาดต้องแสร้งเล่นละครเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตน
“ล… ลูกพี่!” เบอร์นาร์ด และสลาโวมีร์รีบรุดหน้ามาทางนี้ด้วยความเป็นห่วง
“ขืนยกตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านให้เธอไปตอนนี้ ฮาเวอร์ชาคานคงต้องถึงคราวล่มสลายเป็นแน่”
ยาโรสลาฟบ่นพึมพำ ย่อเข่าเข้าใกล้อัลเบิร์ตเพื่อนำเอาผ้าคลุมเจ้าปัญหาออกจากเรือนร่าง แล้วร่ายคาถาฟื้นฟูกำลังให้แก่พ่อมดหนุ่มจอมห้าวเสร็จสรรพ ก่อนจะส่งตัวอีกฝ่ายมอบให้กับเจ้าเตี้ยกับเจ้าอ้วนเพื่อนำพากลับไปยังที่นั่งตามปกติ โดยที่สายตาของเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นล้วนจับจ้องมองไอ้แสบผู้อิดโรยอย่างสมเพชเวทนา
ระหว่างนั้นเองเอ็ดเวิร์ดได้ยกมือซักถามครูผู้สอนด้วยสีหน้าท่าทีตื่นเต้น
“ศาสตราจารย์ เจ้าผ้าคลุมผืนนั้นทำมาจากอะไรกันแน่ครับ ทำไมทุกคนถึงได้หมดแรงกันถ้วนหน้าแบบนี้?”
“ทำมาจากแผ่นหนังของมังกรแถบสแกนดิเนเวียน่ะ สามารถใช้เป็นเกราะป้องกันเวทมนตร์ได้หลากหลายชนิด รวมถึงเหาะเหินเดินอากาศได้อีกด้วย เห็นแบบนี้แล้วผ้าคลุมเองก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกับสัตว์อสูรทั่วไป เพราะงั้นต้องเอาใจใส่มันให้ดี”
“ว่าแต่นายเถอะเจ้าเด็กใหม่ ไม่คิดจะลองสวมดูหน่อยรึไง?” วัตสันเกริ่นแซว
“อย่าล้อเล่นสิครับรุ่นพี่ ผมเองก็ไม่ได้อยากลงไปนอนจูบพื้นเหมือนกับเพื่อน ๆ ทุกคนหรอกนะครับ!”
เด็กหนุ่มผมสีม่วงอ่อนรีบปฏิเสธอย่างลนลาน ทว่าไม่ทันไรเหล่าเพื่อนร่วมชมรมก็ได้เอ่ยประท้วงขึ้นมา
“เอาแต่นั่งดูอย่างเดียวมันไม่แฟร์เลยนี่หว่า พวกนายเองก็ต้องโดนเหมือนอย่างที่พวกเราโดนด้วยสิ!”
“เอาเปรียบเพื่อนร่วมชมรมแบบนี้ไม่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเหรอ กล้า ๆ หน่อย!”
“เอาเลย เอาเลย เอาเลย~!”
พ่อมดแม่มดวัยใสทั้งหลายพร้อมใจกันส่งเสียงยั่วยุ แม้แต่ยาโรสลาฟเองก็พลอยเป็นไปกับพวกเขาด้วย เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรถึงกับยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยความอับอายปนเอือมระอา ท้ายที่สุดแล้วจึงต้องจำใจออกไปรับผลกรรมโดยดุษณี ในขณะที่พ่อมดผู้อาวุโสยืนอ้าแขนรอต้อนรับพวกอิทสึกิด้วยรอยยิ้มละมุนละไม พร้อมทั้งสายตาชวนขนลุกซู่
เมื่อยาโรสลาฟนำผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินสวมใส่ให้แต่ละคน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ
วัตสัน หมดสติตั้งแต่ 10 วินาทีแรก สภาพเดียวกันกับอัลเบิร์ตที่เพิ่งน้ำลายฟูมปากไป
อิทสึกิ อดทนได้แค่เพียง 24 วินาทีก็พลันเข่าทรุดล้มลง ในสภาพเหงื่อท่วมตัว
เวสน่า สามารถทนแรงกดดันได้สูงสุดถึง 40 วินาที ก่อนจะล้มทั้งยืน สร้างความตกตะลึงให้กับทุกคนมากพอสมควร
ฮิคาริ ยืนขาสั่นจนถึง 18 วินาทีสุดท้ายก่อนจะหงายหลังล้มลง
ออเดรย์ กัดฟันทนได้นานถึงวินาทีที่ 30 แล้วนอนสลบไสลลงไปตรงนั้นทันที
อาเธอเรีย เผยท่าทีสบาย ๆ ไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งวินาทีที่ 32 ก็ถึงกับกอดอกนั่งขัดสมาธิ
เซ็ทสึนะ เก็บซ่อนสีหน้าท่าทีทรมานได้ดีมาก แต่ต้องมานั่งพับเข่าลงในวินาทีที่ 15
คลาร่า ยืนสำรวมสงบนิ่งได้อย่างยาวนานถึง 37 วินาที จนกระทั่งหมดสติทั้งที่ยังยืนอยู่
และโมนิก้า เธอได้ทำลายสถิติของเวสน่าลงด้วยเวลา 44 วินาที ก่อนที่จะเวียนหัวตาลายแล้วหมดสติ
หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ ยาโรสลาฟก็ได้ทำหน้าที่ร่ายเวทมนตร์ฟื้นฟูพละกำลังให้แก่เหล่าลูกศิษย์ ก่อนที่เลวอน สเตฟาเนีย และเอ็ดเวิร์ด จะนำพาเหล่าพวกพ้องซึ่งตกอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรงกลับไปนั่งประจำที่ตามปกติ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ศาสตราจารย์มาดทะเล้นจึงกล่าวต่อนักเรียนทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
“สำหรับคนที่ยืนหยัดได้เกินสามสิบวินาทีขึ้นไป ทั้งที่ยังมีสติอยู่หรือหมดสติไปแล้ว พวกเธอยังมีโอกาสได้เป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดิน เพียงแต่ต้องขัดเกลาฝีมือและเรียนรู้ให้มากกว่านี้หน่อย ส่วนคนที่ต่ำกว่าเกณฑ์ก็อย่าเพิ่งเสียใจไป ถ้าหากพวกเธอตั้งใจฝึกฝนกันให้บ่อย ๆ คิดว่าคงน่าจะทนต่อสภาพแรงกดดันได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น”
เหล่าพ่อมดแม่มดที่สอบไม่ผ่านเกณฑ์ได้ยินดังนั้น ต่างก็ถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความสิ้นหวัง ส่วนผู้ที่ทำสำเร็จตามเกณฑ์กลับไม่มีแรงเปล่งเสียงดีใจออกมาแม้แต่สักพยางค์เดียว แทบทุกคนในที่นี้ล้วนบอบช้ำยิ่งกว่าตอนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจปราบปีศาจนอกห้องเรียนเสียอีก
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การจะเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิด
ระหว่างนั้นเอง เลวอนได้นั่งชันเข่าเข้าใกล้โมนิก้าเพื่อคอยสังเกตเฝ้าดูอาการ พร้อมทั้งซักถามเธออย่างเป็นห่วง
“ม… โมนิก้า ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“รู้สึกเหมือนกับว่าห้องเรียนนี้หมุนไปมาได้ยังไงยังงั้นเลย ถ้าได้พักอีกสักหน่อยเดี๋ยวอาการก็คงดีขึ้นเองค่ะ” เด็กสาวร่างอรชรตอบกลับน้ำเสียงอิดโรย พลางแนบแผ่นหลังพิงกับพำนักเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลีย เสมือนดั่งผู้ป่วยติดเตียงก็มิปาน
“ว่าแต่เก่งมากเลยนะ ถึงขนาดทนยืนได้ตั้ง 44 วินาที เป็นผมคงสู้เธอไม่ได้หรอก”
“คุณเลวอนอย่าถ่อมตัวแบบนี้สิคะ ฉันเชื่อค่ะว่าคุณต้องทำได้มากกว่านั้นแน่”
โมนิก้ากลับเป็นฝ่ายเกริ่นให้กำลังใจเสียเอง เลวอนตอบแทนโดยการยกมือขวาขึ้นมาลูบสางศีรษะแม่มดนักพยากรณ์อย่างใคร่เอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นให้แก่กันตามประสาคู่รัก ทว่าไม่ทันไรเอ็ดเวิร์ดก็ได้กล่าวแทรกขัดจังหวะ พลางโน้มตัวเข้าหาด้วยแววตาเป็นประกายตามประสาเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสา
“อะเระ สองคนนี้กำลังคบกันอยู่งั้นสินะครับ~?”
“เหวอ!? /ว้าย!?”
เลวอนและโมนิก้าสะดุ้งโหยงพร้อมทั้งรีบแยกตัวออกห่างจากกันโดยทันที สเตฟาเนียซึ่งนั่งเฝ้าดูท่าทีอย่างเงียบเชียบเผลอแสดงอาการหน้ามุ่ยเล็กน้อยด้วยความหึงหวง เอ็ดเวิร์ดแอบชำเลืองตามองยุวสตรีผมสีส้มเพื่อคอยสังเกตอากัปกิริยา เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นเขาก็ถึงกับแย้มสรวลมุมปากดีใจอยู่ลึก ๆ
ดูเหมือนว่าพ่อมดหนุ่มเสื้อฮู้ดหูแมวรายนี้ ตั้งใจจะหาช่องทางบางอย่างเพื่อหวังจีบสเตฟาเนียอย่างไม่ต้องสงสัย
“ว่าแต่เลวอน สเตฟาเนีย เอ็ดเวิร์ด พวกเธอสามคนไม่คิดจะลองสวมผ้าคลุมผืนนี้ดูสักหน่อยหรือ?”
ในขณะที่บรรยากาศรักหลายเส้ากำลังดำเนินอยู่ ยาโรสลาฟได้ส่งเสียงกระแอมเพื่อดึงดูดความสนใจอีกครั้ง พร้อมทั้งซักถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสชวนมีเลศนัย เลวอน สเตฟาเนีย และเอ็ดเวิร์ด รีบหันขวับไปยังครูผู้สอนอย่างหวั่นสะพรึงกลัว ประดุจว่าลางร้ายได้ย่างกรายเข้ามาเยือนพวกตนอยู่ตรงเบื้องหน้าแล้ว
“เอ๊ะ!?”